(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
Shedding light on the limits of Chinese power
by Pepe Escobar
08/10/2020
หลานซิน เซียง (Lanxin Xiang) นักวิชาการซึ่งเป็นที่นับถือยกย่องกันทั้งในสหรัฐ, ยุโรป, และจีน ไม่ใช่แฟนคลับทางด้านนโยบายว่าด้วยจีนของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่เวลาเดียวกันเขาก็มองเห็นจุดที่ปักกิ่งคาดคำนวณผิดพลาด และทำอย่างเกินเลยจนอยู่ในอาการสุดเหยียด
ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน กำลังกลายเป็นเรื่องที่จะแปรผันไปตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะ คาดหมายได้ว่า คณะบริหารทรัมป์ 2.0 โดยสาระสำคัญแล้ว จะยิ่งเร่งเครื่องการหย่าร้างแยกขาดจากกัน (decoupling) ซึ่งได้ทุ่มวางเดิมพันเอาไว้ตั้งแต่สมัยแรกของเขา ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะบีบคั้นจีน “ผู้ชั่วร้าย” ในแนวรบลูกผสมหลายๆ ด้านหลายๆ ชั้น, บ่อนทำลายการได้เปรียบดุลการค้าของจีน, และจับมือประสานงานกับหลายๆ ส่วนใหญ่ๆ ของเอเชีย ขณะเดียวกับที่ไม่หยุดไม่หย่อนในการวาดภาพจีนให้กลายเป็นปีศาจกลับชาติมาเกิด
ถ้า โจ ไบเดน เป็นฝ่ายคว้าชัย ถึงแม้ทีมไบเดนบอกกล่าวพูดจาว่าไม่ได้มีความปรารถนาที่จะตกลงไปในกับดักของสงครามเย็นครั้งใหม่ แต่เมื่อวินิจฉัยจากหลักนโยบายอย่างเป็นทางการของพรรคเดโมแครต ก็จะพบว่ามีลักษณะของการมุ่งประจันหน้ากับจีนน้อยลงมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น --โดยมุ่งโอ้อวดป่าวร้องว่าต้องการ “ธำรงรักษา” เจ้าสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบที่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ต่างๆ” เอาไว้ ทว่าขณะเดียวกันก็ยังคงมาตรการแซงก์ชั่นทั้งหลายซึ่งทรัมป์ประกาศออกมาบังคับใช้
มีนักวิเคราะห์ชาวจีนน้อยคนนักซึ่งอยู่ในฐานะที่ดีกว่า หลานซิน เซียง (Lanxin Xiang) เมื่อพูดถึงเรื่องการสำรวจตรวจตราสนามแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และทางภูมิเศรษฐกิจของโลก เซียงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีน, สหรัฐฯ, และยุโรป เขาเป็นอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ที่ สถาบันบัณฑิตเพื่อการศึกษาด้านการระหว่างประเทศและการพัฒนา (Graduate Institute of International and Development Studies ใช้อักษรย่อว่า IHEID) ในเมืองเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ และเวลาเดียวกันก็เป็นผู้อำนวยการของ ศูนย์เพื่อการศึกษาเรื่องหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Center for One Belt, One Road Studies) ในเมืองเซียงไฮ้
เซียงเรียนจบปริญญาเอกจากวิทยาลัยเพื่อการศึกษาด้านการระหว่างประเทศชั้นสูง (School of Advanced International Studies ใช้อักษรย่อว่า SAIS) ของมหาวิทยาลยจอห์นส์ฮอปกินส์ (Johns Hopkins) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และเป็นที่ยกย่องนับถือทั้งในสหรัฐฯและในจีน ระหว่างการสัมมนาผ่านทางเว็บเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้เผยโฉมรูปร่างหน้าตาของบทวิเคราะห์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งทางฝ่ายตะวันตกละเลยไม่ใส่ใจทั้งๆ ที่กำลังตกอยู่ในอันตราย
อาจารย์เซียงกำลังโฟกัสเน้นหนักไปยังเรื่องที่ คณะบริหารทรัมป์ผลักดันให้มีการ “นิยามจำกัดความ ผู้ที่จะต้องตกเป็นเป้าหมายภายนอก กันเสียใหม่” อันเป็นกระบวนการที่เขาประทับตราเตือนว่า “สุ่มเสี่ยง, อันตราย, และมีลักษณะเชิงอุดมการณ์สูง” ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะตัวทรัมป์ –ผู้ซึ่งเซียงกล่าวว่า “ไม่ได้มีความสนใจในประเด็นเชิงอุดมการณ์แต่อย่างใด”— หากสืบเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า “นโยบายด้านจีน (ของทรัมป์) ได้ถูกจับตัวลักพาไปโดยพวกนักก่อสงครามเย็น (Cold Warriors) ตัวจริงเสียงจริง”
วัตถุประสงค์ของคนพวกนี้คือ “(การทำให้เกิด) การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (ในประเทศจีน) ทว่านั่นไม่ได้เป็นแผนการดั้งเดิมของทรัมป์แต่อย่างใด”
เซียงวิพากษ์วิจารณ์หลักเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของพวกนักก่อสงครามเย็นเหล่านี้ ผู้ซึ่งกำลังเสนอความคิดแบบว่า “เราได้กระทำความผิดพลาดอย่างมหึมาในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา”
ความคิดเช่นนี้ เขายืนยันว่า มัน “ไร้สาระ –เป็นการอ่านประวัติศาสตร์แบบกลับหัวกลับหาง และเป็นการปฏิเสธประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนนับตั้งแต่ (ยุคประธานาธิบดีริชาร์ด) นิกสัน อย่างหมดสิ้น” โดยที่ เซียง แสดงความหวั่นเกรงว่า มันจะ “สร้างความไม่แน่นอนในเชิงยุทธศาสตร์อย่างมโหฬาร และนำไปสู่การคาดคำนวณต่างๆ ที่ผิดพลาด”
สิ่งซึ่งกำลังทำให้ปัญหาเพิ่มความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ “จีนไม่ได้มีความแน่ใจเลยจริงๆ ว่าสหรัฐฯต้องการที่จะทำอะไร” นั่นเป็นเพราะว่ามันเกินเลยไปกว่าการมุ่งปิดล้อมจำกัดเขต (containment) ซึ่ง เซียงให้คำจำกัดความว่า เป็น “แนวความคิดด้านยุทธศาสตร์ที่ผ่านการขบคิดมาอย่างดีมาก โดย จอร์จ เอฟ. เคนแนน (George F. Kennan) ผู้ได้ชื่อว่า บิดาแห่งสงครามเย็น” (ดูเอกสารเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ของ เคนแนน ได้ที่ https://digitalarchive.wilsoncenter.org/document/116178.pdf)
เซียง ตรวจจับพบเห็นแต่เพียงแบบแผนของการมองปัญหาในลักษณะ “อารยธรรมตะวันตก ปะทะกับวัฒนธรรมที่ไม่ใช่แบบคนผิวขาว (Western civilization versus a non-Caucasian culture) การใช้ภาษาเช่นนี้ถือว่ามีอันตรายมาก มันคือการหยิบยกเอา (งานเขียนของ) ซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel Huntington) (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Clash_of_Civilizations) กลับมาพูดกันใหม่โดยตรง และแสดงให้เห็นว่าแทบไม่มีช่องทางใดๆ เลยที่จะประนีประนอมกัน” พูดโดยสรุปแล้ว เขาบอกว่านี่แหละคือ “วิถีทางแบบอเมริกันในการเดินโซซัดโซเซเข้าสู่สงครามเย็น”
เรื่องเซอร์ไพรซ์ในเดือนตุลาคม ?
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนนี้ เกี่ยวข้องโดยตรงกับความกังวลอย่างใหญ่โตที่สุดของ เซียง ในเรื่องความเป็นไปได้ของการที่จะเกิด เรื่องเซอร์ไพรซ์ในเดือนตุลาคม (หมายเหตุผู้แปล – ทั้งเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารทรัมป์เองและผู้สังเกตการณ์ต่างมองกันว่า ทรัมป์อาจจะเคลื่อนไหวทำเรื่องระดับใหญ่โตและสร้างเซอร์ไพรซ์ขึ้นมาในเดือนตุลาคม เพื่อเป็นการเรียกคะแนนนิยมให้กลับพุ่งพรวด ก่อนถึงการเลือกตั้งในต้นเดือนพฤศจิกายน) “มันเป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นเรื่องไต้หวัน หรือการสู้รบในขอบเขตจำกัดในทะเลจีนใต้” เขาย้ำ “พวกคนในวงการทหารของจีนกำลังวิตกกังวลกันจริงๆ ว่า เรื่องเซอร์ไพรซ์เดือนตุลาคมคือการสู้รบทางทหาร ซึ่งไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะทรัมป์อาจจะต้องการจัดวางตัวเองอีกครั้งให้ขึ้นเป็นประธานาธิบดียามสงคราม”
สำหรับ เซียง แล้ว “ถ้าไบเดนชนะ อันตรายของการที่สงครามเย็นกำลังแปรเปลี่ยนไปเป็นสงครามร้อนก็จะลดฮวบลงอย่างมหาศาล” ถึงแม้ว่าเขาตระหนักเป็นอย่างมากถึงการปรับเปลี่ยนในเรื่องฉันทามติที่ทุกพรรคฝ่ายในวอชิงตันเห็นร่วมกัน โดยเขาบอกว่า “ตามประวัติศาสตร์แล้ว พวกรีพับลิกันไม่ได้สนใจใยดีเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเรื่องอุดมการณ์หรอก จีนจึงมักนิยมชื่นชอบที่จะติดต่อรับมือกับพวกรีพับลิกันมากกว่า พวกเขา (มีความลำบากที่จะ) ติดต่อรับมือกับพวกประเด็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน, ด้านค่านิยมต่างๆ ของพวกเดโมแครต แต่เวลานี้สถานการณ์ได้พลิกกลับเป็นตรงกันข้ามเสียแล้ว”
โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เซียง “ได้เชื้อเชิญที่ปรึกษาระดับท็อปคนหนึ่งของไบเดนไปเยือนปักกิ่ง” เขาพูดถึงที่ปรึกษาผู้นี้ว่า “ เป็นคนที่คิดถึงผลในทางปฏิบัติมาก ไม่ใช่อุดมการณ์จ๋าจนเกินไป”
แต่ในกรณีของความเป็นไปได้ที่จะมีคณะบริหารทรัมป์เวอร์ชั่น 2.0 ขึ้นมา เซียงก็คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปหมดเลยก็ได้ “ความรู้สึกสังหรณ์ของผมคือ ทรัมป์จะรู้สึกผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง อาจจะกระทั่งพลิกกลับนโยบายเรื่องจีนชนิด 180 องศาทีเดียว ซึ่งผมก็จะไม่แปลกใจอะไรหรอก เขาอาจจะหันกลับมาเป็นเพื่อนมิตรที่ดีที่สุดของสี จิ้นผิง ก็ได้นะ” เซียง บอก
เมื่อมองสิ่งที่กำลังเป็นไปในเวลานี้ เซียงกล่าวว่า ปัญหาอยู่ที่ “หัวหน้านักการทูตที่ประพฤติตัวเหมือนเป็นหัวหน้านักโฆษณาชวนเชื่อ กำลังฉวยใช้หาประโยชน์จากประธานาธิบดีที่เอาแน่เอานอนไม่ได้” (หมายเหตุผู้แปล - หัวหน้านักการทูต chief diplomat หมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยที่ ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯคนปัจจุบัน เป็นผู้ที่แสดงความเป็นปรปักษ์กับจีน ซึ่งเขานิยมเรียกว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” อย่างโจ่งแจ้ง)
และนี่คือเหตุผลที่ เซียง ไม่เคยบอกปัดเลยในเรื่องที่ว่าอาจจะเกิดการรุกรานไต้หวันโดยกองทหารจีน เขาสมมุติวาดภาพฉากทัศน์ที่ว่า รัฐบาลไต้หวันประกาศว่า “เราเป็นเอกราช” –ควบคู่กับการที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯไปเยือนไต้หวัน
“นี่ย่อมจะยั่วยุให้เกิดการปฏิบัติการทางทหารในขอบเขตจำกัดขึ้นมา และอาจพลิกผันกลายเป็นการบานปลายขยายตัวไปได้ ลองคิดเปรียบเทียบกับเรื่องซาราเจโว (ที่เป็นตัวจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 1 -หมายเหตุผู้แปล) ดูซิ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.history.com/news/the-assassination-of-archduke-franz-ferdinand) นี่ทำให้ผมรู้สึกวิตกกังวล ถ้าหากไต้หวันประกาศเอกราช การรุกรานของจีนก็จะเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง”
ไม่เหมือนกับพวกนักวิชาการชาวจีนส่วนใหญ่ เซียงแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและกระปรี้กระเปร่า เกี่ยวกับความบกพร่องผิดพลาดของฝ่ายปักกิ่งเอง “มีหลายสิ่งหลายอย่างมากที่ควรควบคุมกันให้ได้ดีกว่านี้ อย่างเช่นเรื่องการละทิ้งคำแนะนำดั้งเดิมของ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ว่าจีนควรรอคอยอย่างอดทนให้ถึงเวลาของตน โดยก่อนจะถึงตอนนั้นควรต้องซุ่มซ่อนโลว์โปรไฟล์เข้าไว้ เติ้งนั้น ในพินัยกรรมสุดท้ายของเขา ได้ตั้งกรอบเวลาสำหรับเรื่องนี้เอาไว้ว่า ต้องอย่างน้อยที่สุด 50 ปี”
แต่ปัญหาก็คือ “อัตราเร็วในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน ได้นำไปสู่การคาดคำนวณแบบหุนหันพลันแล่นและเร็วเกินไป โดยที่สถานการณ์ยังไม่สุกงอม” และมีการผลักดันยุทธศาสตร์ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการขบคิดอย่างรอบคอบ “การทูตแบบกองพันสุนัขป่า (Wolf Warrior diplomacy หมายถึง การดำเนินการทางทูตแบบก้าวร้าวในช่วงระยะหลังๆ มานี้ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นักการทูตระดับสูงของจีนตอบโต้ทันควัน ตรงไปตรงมา ต่อชาติที่กล่าวหาจีนในประเทศที่พวกเขาประจำการอยู่ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Wolf_warrior_diplomacy -ผู้แปล) เป็นการแสดงหน้าตาท่าทางและภาษาอย่างยืนกรานแข็งกร้าวสุดขั้ว ทั้งนี้จีนได้เริ่มต้นแสดงความไม่พอใจต่อสหรัฐฯและแม้กระทั่งพวกยุโรป นี่เป็นการคาดคำนวณที่ผิดพลาดในทางภูมิยุทธศาสตร์”
และนี่นำเรามาถึงลักษณะโดดเด่นที่ เซียง บรรยายออกมาให้เห็นกันอย่างเฉพาะเจาะจงว่า มันคือ “ภาวะสุดเหยียดแห่งอำนาจ ทั้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจของจีน” เขาชื่นชอบที่อ้างคำกล่าวของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พอล เคนเนดี (Paul Kennedy) (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://warontherocks.com/2015/06/was-paul-kennedy-right-american-decline-30-years-on/) ที่ว่า “อภิมหาอำนาจยิ่งใหญ่รายไหนก็ตาม ถ้าหากแสดงอำนาจจนอยู่ในภาวะสุดเหยียดแล้ว ก็จะอยู่ในฐานะที่อ่อนแอ”
เซียง ยังไปไกลถึงขนาดพูดว่า แผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) อันเป็นแนวคิดที่เขายกย่องสรรเสริญอย่างกระตือรือร้นนั้น อาจจะเข้าข่ายอยู่ในภาวะสุดเหยียด “พวกเขา (ฝ่ายจีน) คิดว่ามันเป็นโครงการทางเศรษฐกิจบริสุทธิ์แท้ๆ ทว่าด้วยการขยับขยายไปถึงขอบเขตต่างๆ ทั่วโลกอย่างกว้างขวางขนาดนั้นนะหรือ?”
ดังนั้นแล้ว แผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ใช่หรือไม่ว่าต้องถือเป็นกรณีของภาวะสุดเหยียด หรือเป็นแหล่งที่มาของการทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพขึ้น? เรื่องนี้ เซียงตอบด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า “คนจีนนั้นไม่ได้เคยมีความสนอกสนใจจริงๆ ในนโยบายภายในประเทศของชาติอื่นๆ หรอก ไม่ได้มีความสนอกสนใจในการส่งออกโมเดลอะไรทั้งนั้น จริงๆ แล้วจีนก็ไม่ได้มีโมเดลอะไรเลยด้วยซ้ำ การที่จะเป็นโมเดลได้นั้นมันต้องมีความสุกงอม—มีโครงสร้างรองรับ ทั้งนี้เว้นแต่ว่าคุณกำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องการส่งออกวัฒนธรรมจีนตามแบบแผนประเพณีนะ”
ปัญหาก็เป็นอย่างที่ได้พูดกันมาแล้วนั่นแหละ อยู่ตรงที่จีนคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะ “แอบๆ ซ่อนๆ เข้าไปยังพวกพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ซึ่งสหรัฐฯไม่ได้เคยให้ความใส่ใจอะไรนักหนา – อย่างแอฟริกา, เอเชียกลาง— โดยที่ไม่น่าจะกลายเป็นการยั่วยุจนทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำในทางภูมิรัฐศาสตร์ ทว่าการคิดแบบนี้คือความไร้เดียงสา”
เซียง มีความชื่นชอบที่จะเตือนให้พวกนักวิเคราะห์ของฝ่ายตะวันตกระลึกว่า “โมเดลการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาโดยชาวยุโรป พวกทางรถไฟอย่าง สายทรานส์ไซบีเรีย พวกคลองลัดอย่างคลองปานามา แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของโครงการเหล่านี้มักเป็นการแข่งขันช่วงชิงกันเข้าครอบครองอาณานิคม เราก็เดินตามโครงการทำนองเดียวกันนั่นแหละ - แต่ว่าไม่มีลัทธิล่าอาณานิคม”
กระนั้นก็ตาม เขายังคงเห็นถึงความผิดพลาดที่ว่า “พวกนักวางแผนของจีนทำตัวเหมือนเอาศีรษะซุกเข้าไปในทราย ไม่มองดูภาวะแวดล้อมภายนอก พวกเขาไม่เคยใช้คำอย่างเช่น –ภูมิรัฐศาสตร์กันเลย” ด้วยเหตุนี้ เซียง จึงมีคำพูดล้อเลียนเกี่ยวกับพวกผู้วางนโยบายชาวจีน ที่เขาชอบพูดอยู่เรื่อยๆ ที่ว่า “คุณอาจจะไม่ชอบภูมิรัฐศาสตร์ แต่ว่าภูมิรัฐศาสตร์นั้นชอบคุณ”
ไปถามขงจื้อ
แง่มุมที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของ “สถานการณ์ช่วงหลังโรคระบาดใหญ่” ตามความเห็นของเซียง ได้แก่การต้องลืมเรื่อง “เกี่ยวกับกองพันสุนัขป่าพวกนั้น จีนอาจจะสามารถเริ่มต้นเดินเครื่องเศรษฐกิจได้ก่อนอื่นๆ อาจจะสามารถพัฒนาวัคซีนที่ใช้งานได้จริงๆ แต่จีนไม่ควรที่จะทำให้มันกลายเป็นเรื่องทางการเมือง จีนควรที่จะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าความเป็นสากลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดำเนินการในแบบลัทธิพหุภาคีนิยมเพื่อช่วยเหลือโลกและปรับปรุงภาพลักษณ์ของตนเอง”
เกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศจีน เซียงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ว่า “ระหว่างทศวรรษที่แล้ว บรรยากาศภายในบ้าน –ในเรื่องประเด็นชนกลุ่มน้อย, เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น – กำลังเข้มงวดแข็งตึงมากขึ้น จนถึงขนาดที่ว่ามันจะไม่ช่วยให้ภาพลักษณ์ของจีนในฐานะที่เป็นมหาอำนาจรายหนึ่งของโลกดีขึ้นมาหรอก”
เขาชี้ว่า จะเห็นเรื่องนี้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นอีก หากนำเอาบรรยากาศภายในจีนดังกล่าว ไปทาบเทียบกับ “ทัศนะเกี่ยวกับจีนในเชิงไม่นิยมชมชอบ” ซึ่งปรากฏอยู่ในผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนชาติต่างๆ ในโลกอุตสาหกรรมตะวันตก ที่รวมเอาประเทศเอเชียเอาไว้เพียง 2 ราย ได้แก่ ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ (ดูเพิ่มเติมรายงานผลการสำรวจนี้ได้ที่ https://www.pewresearch.org/global/2020/10/06/unfavorable-views-of-china-reach-historic-highs-in-many-countries/)
และนี่นำเรามายังหนังสือเรื่อง The Quest for Legitimacy in Chinese Politics (การสืบค้นเรื่องความชอบธรรมในการเมืองจีน) ของเซียง (ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ได้ที่ https://www.amazon.com/Quest-Legitimacy-Chinese-Politics-Interpretation-ebook/dp/B07X9VPPQ4/ref=sr_1_1?crid=3B8JOJ30XQ98O&dchild=1&keywords=the+quest+for+legitimacy+in+chinese+politics%2C+a+new+interpretation&qid=1602072621&sprefix=The+Quest+for+Legitima%252) ซึ่งสมควรที่จะเรียกว่าเป็นผลงานการศึกษาร่วมสมัยชิ้นสำคัญที่สุดซึ่งเขียนโดยนักวิชาการชาวจีนผู้หนึ่ง ที่มีศักยภาพทั้งในการอธิบายและในการเชื่อมต่อภาวะความแบ่งแยกทางทางการเมืองระหว่างตะวันออก-ตะวันตก
ข้อวินิจฉัยหลักของ เซียง ก็คือ “เรื่องความชอบธรรมในปรัชญาการเมืองตามประเพณีของจีนนั้นมีลักษณะเป็นคำถามที่มีพลวัต การปลูกถ่ายค่านิยมทางการเมืองของตะวันตกมาใส่ในระบบของจีนนั้นใช้ไม่ได้ผลหรอก”
แต่แม้ว่าแนวความคิดแบบจีนในเรื่องความชอบธรรมจะมีลักษณะพลวัต เซียงก็ย้ำว่า เวลานี้ “รัฐบาลจีนกำลังเผชิญหน้าวิกฤตการณ์ด้านความชอบธรรมอยู่”
เขาอ้างอิงถึงการณรงค์ต่อต้านปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา “การทุจริตคอร์รัปชั่นของพวกเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอยู่อย่างกว้างขวาง –นี่เป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นการแสดงตัวออกมาของด้านที่เลวร้ายของระบบ ทั้งนี้ ควรต้องให้เครดิตแก่ สี จิ้นผิง ผู้มีความเข้าอกเข้าใจว่าถ้าเราปล่อยให้เรื่องอย่างนี้ดำเนินต่อไปแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะสูญเสียความชอบธรรมไปจนหมดสิ้น”
เซียงย้ำว่า ในประเทศจีนนั้น “ความชอบธรรมเป็นสิ่งที่อิงอยู่บนแนวความคิดเรื่องศีลธรรม –นับตั้งแต่ขงจื้อเป็นต้นมาทีเดียว พวกคอมมิวนิสต์ก็ไม่สามารถที่จะหลีกหนีจากหลักเหตุผลเช่นนี้ได้ แต่ไม่มีใครก่อนหน้า สี มีความกล้าที่จะจัดการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น เขามีกึ๋นที่จะถอนรากถอนโคนมัน จับกุมพวกนายพลที่ทุจริตประพฤติมิชอบเป็นร้อยๆ คน บางคนกระทั่งพยายามที่จะก่อการรัฐประหารขึ้นมา 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้งด้วยซ้ำ”
ในเวลาเดียวกัน เซียงก็ยืนกรานอย่างแน่วแน่ที่จะไม่เห็นด้วยกับ “การขึงตึงมากขึ้นเรื่อยๆ ของบรรยากาศ” ในประเทศจีน ในแง่ของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้เขาอ้างอิงตัวอย่างของสิงคโปร์สมัยที่อยู่ใต้การปกครองของ ลี กวนยู โดยเขาเรียกว่าเป็น “ระบบเผด็จการแบบรู้แจ้ง” (enlightened authoritarian system)
ปัญหาก็คือ “จีนนั้นไม่ได้มีหลักนิติธรรม (rule of law) แม้มีแง่มุมต่างๆ ในด้านการทำตามกฎหมายอยู่เยอะแยะก็ตาม สิงคโปร์เป็นนครรัฐขนาดเล็ก ทำนองเดียวกับฮ่องกง พวกเขาเพียงแค่รับมอบระบบกฎหมายของอังกฤษมา มันใช้การได้ดีมากๆ สำหรับขนาดเล็กๆ ขนาดนั้น” ตรงนี้ เซียง ได้อ้างคำกล่าวของ อริสโตเติล (Aristotle) ที่ว่า “ประชาธิปไตยไม่เคยใช้การได้เลยในพวกประเทศที่มีขนาดใหญ่ๆ ในพวกนครรัฐนั้น มันใช้การได้”
จากการติดอาวุธความคิดของอริสโตเติล เราคุยกันต่อไปถึงเรื่องฮ่องกง เซียงบอกว่า “ฮ่องกงมีหลักนิติธรรม แต่ไม่เคยมีประชาธิปไตย รัฐบาลที่นั่นในยุคอาณานิคมได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากลอนดอน นี่แหละคือวิธีการที่ฮ่องกงสร้างผลงานออกมาได้อย่างแท้จริง ในฐานะที่เป็นไดนาโมทางเศรษฐกิจ แม้กระทั่งพวกนักเศรษฐศาสตร์สำนักเสรีนิยมใหม่ก็ยังมองฮ่องกงว่าเป็นโมเดลที่ดีโมเดลหนึ่ง
“มันเป็นการจัดวางทางการเมืองที่มีลักษณะโดดเด่นของตนซึ่งไม่เหมือนใคร เป็น การเมืองแบบเจ้าพ่อ (Tycoon politics) ไม่มีประชาธิปไตย—ถึงแม้รัฐบาลอาณานิคมไม่ได้เคยทำการปกครองแบบผู้เผด็จการก็ตามที เศรษฐกิจแบบตลาดถูกปล่อยให้ดำเนินไปอย่างอิสระ ฮ่องกงนั้นปกครองโดย จ็อกกี้ คลับ (Jockey Club สโมสรจัดการแข่งม้าและการพนันต่างๆ -ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Hong_Kong_Jockey_Club), เอชเอสบีซี (ซึ่งมีชื่อเดิมว่าธนาคารแห่งฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ -ผู้แปล) , จาร์ดีน แมทธีสัน (Jardine Matheson) โดยที่รัฐบาลอาณานิคมทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน พวกเขาไม่เคยใส่ใจพวกประชาชนที่อยู่ข้างล่างสุดกันเลย”
เซียง ชี้ว่า “คนร่ำรวยที่สุดในฮ่องกงเสียภาษีเงินได้เพียงแค่ 15% เท่านั้น จีนก็ต้องการที่จะรักษาแบบแผนเช่นนี้เอาไว้ โดยที่เปลี่ยนมาเป็นปักกิ่งเป็นผู้แต่งตั้งรัฐบาลอาณานิคม ทว่ามันยังคงเป็น การเมืองแบบเจ้าพ่อ ทว่าเดี๋ยวนี้มันมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแล้ว ผู้คนที่เกิดภายหลังการส่งมอบอำนาจ (จากอังกฤษมาอยู่ในการปกครองของจีน) เป็นผู้คนซึ่งไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม
“พวกชนชั้นนำคนจีนที่เป็นผู้ปกครองนับตั้งแต่ปี 1997 ไม่ได้เคยใส่ใจกับบรรดาผู้คนระดับรากหญ้า และละเลยอารมณ์ความรู้สึกของคนรุ่นหนุ่มสาว ตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็มๆ (ปี 2019) คนจีน (ชนชั้นนำในฮ่องกง) ไม่ได้ทำอะไรเลย การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยได้พังครืนลงไปหมด นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมจีนแผ่นดินใหญ่จึงตัดสินใจก้าวเข้ามายุ่งเกี่ยว และนี่แหละคือเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่
แล้วสำหรับตัวแสดง “อันตราย” อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับการโจมตีที่โปรดปรานกันนักของพวกชนชั้นนำในวอชิงตัน –นั่นคือรัสเซีย ล่ะ?
“ปูตินย่อมต้องการเหลือเกินให้ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ ฝ่ายจีนเองก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน จวบจนกระทั่งเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา สงครามเย็นนั้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยนใหญ่ในเชิงยุทธศาสตร์ ภายหลัง นิกสัน เดินทางไปเยือนจีน สหรัฐฯก็นั่งอยู่ตรงกลางคอยปลุกปั่นยุยงมอสโกกับปักกิ่ง แต่มาถึงตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว”