ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกจากโรงพยาบาลเตรียมลุยหาเสียงต่อ หลังเข้ารักษาตัวฉุกเฉินจากการติดโควิด-19 เพียงแค่ 4 วัน ซ้ำยังไว้ลายอดีตดาราเรียลลิตีโชว์ด้วยการ “ถอดหน้ากาก” โชว์สื่อทันทีที่กลับถึงทำเนียบขาว ในความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจ “เล่นเกมเสี่ยง” หลังผลโพลทุกสำนักบ่งชี้ถึงคะแนนนิยมที่ยังคงตามหลัง โจ ไบเดน แบบดันไม่ขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้ง 3 พ.ย.
แม้จะสัมผัสถึงอันตรายของเชื้อไวรัสที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 210,000 คนด้วยตัวเอง แต่ ทรัมป์ กลับยังคงเรียกร้องให้ผู้สนับสนุน “อย่ากลัวโควิด” และ “ออกไปใช้ชีวิตตามปกติ”
ผู้จัดทำโพลและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ทรัมป์ ทิ้งโอกาสที่จะ “รีเซ็ต” ตัวเองและแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชาวอเมริกันที่เดือดร้อนจากโรคระบาด แถมยังสร้างความเอือมระอาให้กับพลเมืองที่ไม่ฝักฝ่ายพรรคไหน (independents) หรือผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร โดยเฉพาะกลุ่มสตรีและผู้สูงอายุที่ ทรัมป์ จำเป็นจะต้องดึงคะแนนเสียงมาให้ได้ หากหวังที่จะเอาชนะ ไบเดน
ทรัมป์ ประกาศผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่าเขาและภรรยา ‘เมลาเนีย’ ติดเชื้อโควิด-19 และกำลังเข้าสู่กระบวนการกักตัว ซึ่งด้วยปัจจัยด้านอายุและภาวะน้ำหนักตัวเกินทำให้ ทรัมป์ วัย 74 ปี เข้าข่ายเสี่ยงที่อาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง
ข่าวการติดเชื้อของผู้นำสหรัฐฯ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่ ‘โฮป ฮิกส์’ ที่ปรึกษาสาวคนสนิทของทรัมป์ มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก
หลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ออกจากทำเนียบขาวไปยังศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์รีด (Walter Reed National Military Medical Center) ในรัฐแมริแลนด์ โดยแหล่งข่าวระบุว่าเขามีอาการไข้และต้องได้รับออกซิเจนเสริม
ระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาล ทรัมป์ ยังไม่วายแหกกฎด้านความปลอดภัยด้วยการนั่งรถออกไปทักทายแฟนคลับที่มารอให้กำลังใจด้านนอก ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องกักตัวเองอย่างเข้มงวดอย่างน้อย 14 วัน เพื่อลดความเสี่ยงแพร่โรคสู่ผู้อื่น
อีกเพียง 1 วันถัดมา ผู้นำสหรัฐฯ ตัดสินใจขึ้น ฮ. กลับทำเนียบขาว และขึ้นไปยืนบน ‘ระเบียงทรูแมน’ ก่อนจะถอดหน้ากากโชว์สื่อ ซึ่งเป็นการกระทำที่แพทย์หรือแม้กระทั่งพันธมิตรบางคนในพรรครีพับลิกันเองก็รับไม่ได้
ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความในวันจันทร์ (5) ว่า “ผมจะออกจากศูนย์การแพทย์ทหารวอลเตอร์รีดในเวลา 18.30 น.วันนี้ รู้สึกดีมากๆ! พวกคุณอย่าไปกลัวโควิด อย่าปล่อยให้มันมีอิทธิพลกับชีวิตคุณ เราได้พัฒนาตัวยาและองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ ผมรู้สึกสบายดียิ่งกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วเสียอีก!”
ทวีตของ ทรัมป์ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข โดย วิลเลียม แชฟฟ์เนอร์ ศาสตราจารย์เวชศาสตร์ป้องกันและโรคติดเชื้อของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ในเมืองแนชวิลล์ ยอมรับว่ารู้สึกตกใจที่ได้ยิน ทรัมป์ ประกาศว่าโควิดไม่น่ากลัว ทั้งที่โรคนี้ทำให้มีคนป่วยและตายในสหรัฐฯ วันละเป็นพันเป็นหมื่น ทำลายเศรษฐกิจ และยังทำให้ชาวอเมริกันนับสิบๆ ล้านคนต้องตกงาน
เอมี โคช นักยุทธศาสตร์รีพับลิกันในรัฐมินนิโซตาซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดผลเลือกตั้ง ระบุว่า ตอนแรกเธอรู้สึกชื่นชม ทรัมป์ ที่ยังแสดงทัศนคติเชิงบวกภายหลังรู้ว่าตนเองติดโควิด “แต่พอเห็นเขานั่งรถออกจากโรงพยาบาลมาโชว์ตัว และถอดหน้ากากที่ทำเนียบขาวเพื่อให้สื่อถ่ายรูป ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่านี่มันคืออะไร”
ด้าน โจ ไบเดน ซึ่งตระเวนหาเสียงที่ฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ (5) เรียกร้องให้ ทรัมป์ บอกเล่าบทเรียนที่ถูกต้องกับประชาชนว่าหน้ากากช่วยปกป้องชีวิตพวกเขาได้ และยังให้ความเห็นในวันอังคาร (6) ว่าเขาและ ทรัมป์ ควรงดศึกดีเบตรอบ 2 ที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 ต.ค. หากว่าจนถึงตอนนั้นผู้นำสหรัฐฯ ยังคงมีเชื้อโควิด-19 อยู่ในร่างกาย
“หากเขายังมีเชื้อโควิด เราก็ไม่ควรมีดีเบต” ไบเดน บอกกับผู้สื่อข่าว
แม้แพทย์ประจำตัวจะออกมายืนยันว่าผู้นำสหรัฐฯ ไม่แสดงอาการป่วย และยังคง “สบายดีมาก” แต่ดูเหมือนเชื้อไวรัสจะยังคงแพร่กระจายในหมู่คนใกล้ชิดทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น เมลาเนีย ภริยาของเขา, โฮป ฮิกส์ ผู้ช่วยคนสนิท, บิลล์ สเตเปียน ผู้จัดการทีมหาเสียง, เคย์ลีห์ แมคเอนานีย์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว และล่าสุดคือ สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายของทำเนียบขาวซึ่งออกมายอมรับเมื่อวันอังคาร (6) ว่ามีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก
มีรายงานจาก CNN ว่าทำเนียบขาว “ปฏิเสธ” ข้อเสนอจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ที่ประสงค์เข้าช่วยสืบสวนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และแกะรอยติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดหลังจากที่ ทรัมป์ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ข้อเสนอจาก CDC เกิดขึ้นแทบจะทันทีหลังจากที่ ทรัมป์ เผยกับสาธารณชนว่าเขาติดโควิด-19 และ CDC ยังได้ยื่นข้อเสนออีกรอบระหว่างพูดคุยทางโทรศัพท์เมื่อวันจันทร์ (5) แต่ก็ถูกคนของทำเนียบขาวปฏิเสธเช่นเคย
คณะทำงานของ ทรัมป์ แทบไม่ได้อธิบายว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อติดตามแกะรอยผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจัดขึ้นที่ทำเนียบขาว ในนั้นรวมถึงพิธีเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ซึ่งผู้ร่วมงานเกือบทุกคนไม่สวมหน้ากากและไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า บรรดานายทหารระดับสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสมาชิกอยู่ในคณะเสนาธิการทหารร่วมของประเทศต้องพากันกักตัวเกือบยกชุด หลังจากรองผู้บัญชาการของหน่วยยามฝั่งมีผลตรวจโรคโควิด-19 ออกมาเป็นบวก ภายหลังเข้าประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทรัมป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกู้คะแนนนิยมกลับมาให้ทันก่อนวันเลือกตั้ง โดยผลสำรวจรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (6) พบว่า ไบเดน มีคะแนนนิยมแซง ทรัมป์ อยู่ถึง 12 แต้มในโพลระดับชาติ และอดีตรองประธานาธิบดีสายเดโมแครตผู้นี้ยังมีคะแนนนำในรัฐเพนซิลเวเนีย, มิชิแกน และวิสคอนซิน ซึ่งเป็น 3 รัฐอุตสาหกรรมขึ้นสนิม (Rust Belt states) ที่ ทรัมป์ เคยเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน ไปได้อย่างไม่คาดฝันเมื่อ 4 ปีก่อน
โพลรอยเตอร์พบว่า 52% ของชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะโหวตเลือก ไบเดน เป็นผู้นำคนใหม่ และมีเพียง 40% เท่านั้นที่บอกว่าจะเลือก ทรัมป์
ผลโพลดังกล่าวมีขึ้นหลังศึกดีเบตครั้งแรกระหว่าง ทรัมป์ กับ ไบเดน ที่ถูกวิจารณ์ว่าวุ่นวายไร้ระเบียบโดยสิ้นเชิง
ล่าสุดในวันอังคาร (6) ทรัมป์ ยังละทิ้งโอกาสที่จะเก็บชัยชนะทางกฎหมายในนาทีสุดท้ายด้วยการยกเลิกเจรจาแพ็กเกจเยียวยาโควิด-19 กับพรรคเดโมแครต
“ผมสั่งให้ผู้แทนของผมหยุดการเจรจาไว้ก่อน และทันทีที่ผมชนะเลือกตั้ง เราจะผ่านกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เน้นช่วยเหลือชาวอเมริกันที่ทำงานหนักและบรรดาธุรกิจรายย่อย” ทรัมป์ ทวีตข้อความ
โจ ไบเดน ถือโอกาสนี้โจมตีผู้นำสหรัฐฯ ว่ากำลัง “หันหลังให้ชาวอเมริกัน” และทอดทิ้งประชาชนให้เผชิญชะตากรรมท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่คร่าชีวิตพลเมืองไปกว่า 2 แสน และทำให้มีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 7 ล้านคน
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสายเดโมแครต แสดงท่าทีไม่ยี่หระกับการปฏิเสธเจรจาของทรัมป์ โดยอ้างว่าอย่างไรเสีย ทรัมป์ ก็แพ้เลือกตั้งแน่นอน และสภาคองเกรสจะผ่านแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาจนได้ในช่วงที่ประธานาธิบดีอยู่ในสภาพ “เป็ดง่อย” รอการเข้ารับตำแหน่งของผู้นำคนใหม่
ท่าทีไม่ไยดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชนของ ทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งเหวทันที ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาย้ำเตือนว่าแพ็กเกจเยียวยาโควิด-19 คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นตัวภายในประเทศ
ทรัมป์ พยายามเบนความสนใจของชาวอเมริกันจากผลงานการรับมือโควิด-19 ที่ล้มเหลว ทว่าคำพูดและการกระทำหลายๆ อย่างของเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมากลับทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นหลักที่สังคมให้ความสำคัญในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง
ซาราห์ ลองเวลล์ ผู้ทำโพลสายรีพับลิกันซึ่งสำรวจมุมมองของกลุ่มผู้หญิงในรัฐที่เสียงแกว่งไปมา (swing states) ระบุว่า การที่ ทรัมป์ พยายามโชว์ความห้าวหาญด้วยการนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับทำเนียบขาวทั้งๆ ที่ยังป่วยโควิดอยู่ไม่น่าจะสร้างความประทับใจให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลุ่มนี้ ซึ่งมองว่าความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญ
ในแง่ของทุนหาเสียง ทรัมป์ ก็ระดมเงินบริจาคได้น้อยกว่า ไบเดน พอสมควร ซึ่งทำให้ฝ่ายผู้แทนเดโมแครตมีทุนสำหรับซื้อโฆษณาหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายมากกว่า
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในวันอังคาร (6) เฟซบุ๊ก อิงค์ และทวิตเตอร์ ได้ดำเนินการกับโพสต์ต่างๆ ของ ทรัมป์ ที่ละเมิดกฎระเบียบและให้ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เช่น การพูดว่า โควิด-19 ก็เหมือนกับไข้หวัดธรรมดา เป็นต้น
ผลสำรวจรอยเตอร์/อิปซอสระหว่างวันที่ 2-6 ต.ค. พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ซึ่งไม่จำกัดว่าเป็นฐานเสียงฝั่งไหนต่างรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 โดย 79% ของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ตอบว่า “กังวลมาก” หรือ “ค่อนข้างกังวล” และมีเพียง 38% เท่านั้นที่มองว่ารัฐบาล ทรัมป์ รับมือโควิด-19 ได้ดี ในขณะที่อีก 56% ไม่พอใจการตอบสนองของ ทรัมป์