xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกาที่เกินกว่าจะเยียวยา???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


โจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต
ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดู “เลือกตั้งอเมริกา” กันอีกสักรอบนั่นแหละทั่น!!! เพราะนอกจากเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็จะได้เวลาที่บรรดาอเมริกันชนเขาจะ “เขย่าประชาธิปไตยในอุ้งมือของท่าน” กันอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ยังอาจถือเป็นเรื่องเบาๆ แถมออกจะหนักไปทาง “แบเบอร์” ยิ่งเข้าไปทุกที...

คือถ้าฟังบรรดา “กูรู” หรือบรรดาพวก “ผู้เชี่ยวชาญ” ในบ้านเรา...คู่แข่ง คู่ชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต อย่าง “Sleepy Joe” หรือ “Creepy Joe” หรือ “นายโจ ไบเดน” นั้น น่าจะ “นอนมา” ได้ไม่ยากส์ส์ส์ ดังเช่น ที่คุณน้า “สุทธิชัย หยุ่น” ท่านได้ไปนำเอาตัวเลข สถิติ คะแนนนิยมจากผลสำรวจตรวจสอบของบรรดา “โพล” ทั้งหลาย มาทำเป็นชาร์ต เป็นแผ่นภาพให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็พอเห็นได้ว่า...ล่าสุด “โจซึมเซา” หรือ “โจวิตถาร” ทำคะแนนทิ้งห่าง “ทรัมป์บ้า” ชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง เอาเลยถึงขั้นนั้น คือนำกันถึง 57 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 41 เปอร์เซ็นต์ หรือห่างกันถึง 16 เปอร์เซ็นต์ โอกาสไล่กวด ไล่ตาม หรือไล่แซง ยิ่งน่าจะ “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...

หรืออย่างอาจารย์ “วรากรณ์ สามโกเศศ” ที่ร่ายเรียงบทความอยู่ใน “กรุงเทพธุรกิจ” ก็ยังอุตส่าห์ไปเอาผลสำรวจคะแนนนิยมในบรรดา “รัฐ” ต่างๆ ที่ถือเป็นจุดสำคัญในการชี้วัด-ตัดสินชัยชนะและความพ่ายแพ้ (Swing States) ของคู่แข่ง คู่ชิง ตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันมาโดยตลอด ไม่ว่ารัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ “ทรัมป์บ้า” วิ่งไล่หลัง “โจซึมเซา” อยู่ประมาณ 3.9 เปอร์เซ็นต์ รัฐมิชิแกน ตามหลังอยู่ถึง 9.8 เปอร์เซ็นต์ ฟลอริดา ตามหลังอยู่ 11.2 เปอร์เซ็นต์ วิสคอนซิน ตามหลังอยู่ถึง 11.5 เปอร์เซ็นต์ และเพนซิลเวเนีย ที่ตามแบบชนิดไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง หรือตามอยู่ถึง 30.8 เปอร์เซ็นต์ จนท่านอาจารย์ต้องสรุปไว้ประมาณว่า เท่าที่ผ่านมาไม่เคยมีประธานาธิบดีรายใดที่ลงแข่งรอบสองแล้วจะมีคะแนนตามหลังห่างไปได้ถึงขั้นนี้ หรือทำให้ต้องตัดสินใจ “ฟันธง” ว่าโอกาสที่ “โจซึมเซา” จะเอาชนะ “ทรัมป์บ้า” มีความเป็นไปได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วเป็นอย่างน้อย...

อีกทั้งโดยสีสันบรรยากาศทั่วๆ ไป...ก็น่าจะเป็นไปในแนวนั้นนั่นแหละทั่น!!! ด้วยเหตุเพราะ “โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น” หรือด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ การที่ประธานาธิบดีผู้ได้รับการจดตัวเลข สถิติ ว่าเคย “โกหก” ไม่ต่ำกว่า 20,000 ครั้งเป็นอย่างน้อย นับจากได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน แต่กลับถึงขั้น “โกหกไม่ออก” หรือ “โม้ไม่ออก” เมื่อดันต้องติดเชื้อไวรัส “COVID-19” แบบเน้นๆ เนื้อๆ แถมแทนที่จะยอมให้ใครต่อใครกักตัวตนเองเอาไว้ 14 วัน ตามมาตรฐานแห่งการติดเชื้อ แพร่เชื้อดันทะรอดทะแรด เผ่นออกมา “โชว์ตัว” ปานประดุจ “เอลซิด” (El Cid) ถูกจับนั่งบนหลังม้า ทั้งที่เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะเท่งทึง ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว อันนี้...มันเลยไม่ได้เป็นตัวสะท้อนความกล้า ความทะนงองอาจใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ โดยไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะเอาเชื้อไปแพร่ใส่ใครต่อใคร หรือใครต้องติดเชื้อ ติดโรคตามมาอีกเป็นระนาว เผลอๆ...อาจจะเกลี้ยงทำเนียบขาวเอาเลยก็ไม่แน่!!!

คือถ้าเป็นการต่อยมวย ชกมวย ก็น่าจะเป็นประเภทหงายท้องลงไปนอนกลิ้ง นอนหงาย คายฟันยางไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่พอกรรมการปราดเข้าไปนับสิบ หรือนับร้อยก็ตามแต่ ยังอุตส่าห์ผงกหัวออกอาการฮึดๆ ฮัดๆ ทำท่าว่าต้องการจะสู้ต่อให้จงได้ การคิดจะฮึด คิดจะสู้ อีกแค่ไม่กี่สิบวันนับจากนี้ เลยคงเหลืออยู่แค่ “ปาฏิหาริย์” หรือรอเวลา “October surprise” ว่าจะออกมาในรูปไหน อย่างไร ไปจนการยื้อไป-ยื้อมา ไม่คิดจะออกจากทำเนียบขาว ชนิดอาจถึงขั้นต้องลาก “ทหาร” มาช่วยเชิญตัว อย่างที่พวกเดโมแครตพยายามออกแรงยุ ออกแรงเชียร์ไว้ก่อนหน้านั้น หรือไม่ อย่างไร คงต้องติดตามไปเป็นระยะๆ...

แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า...ก็คือแนวโน้มของการผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดี ของคู่แข่ง คู่ชิง อย่าง “โจ ไบเดน” คราวนี้ จะส่งผลเช่นไรต่อประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา รวมถึงโลกทั้งโลกในแนวไหน อย่างไร อันนี้นี่แหละ...ที่ใครต่อใครต่างพยายามจับตา รวมทั้งได้ให้ความคิด ความเห็นเอาไว้ตามสมควร และโดยส่วนใหญ่...ออกจะเห็นพ้อง ต้องกัน ว่าคงไม่ได้ก่อให้เกิด “ความเปลี่ยนแปลง” อะไรมาก เพราะไม่ว่า “เดโมแครต” หรือ “รีพับลิกัน” ไม่ต่างอะไรไปจากน้ำดื่ม น้ำอัดลม อย่าง “เป๊ปซี่” และ “โคล่า” นั่นเอง คือต่างก็เป็น “น้ำดำ” ไปด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่ว่า...เดโมแครตหรือ “โจ ไบเดน” อาจจะเนียนกว่า นุ่มกว่า ความหยาบ ความสาก ความถ่อย หรือความห้าวระห่ำ ของ “ทรัมป์บ้า” อยู่แล้วแน่ๆ โดยเฉพาะต่อศัตรูคู่กัด คู่แข่ง อย่างจีน รัสเซีย อิหร่าน ไปจนถึงเวเนซุเอลา ฯลฯ โน่นเลย...

แต่ความเนียนกว่า นุ่มกว่า ก็ใช่ว่าจะช่วยให้เกิดการส่งผลใน “แง่บวก” ต่อประเทศอเมริกา สังคมอเมริกันไปในทุกเรื่อง ทุกกรณี ก็หาไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของ “เศรษฐกิจ” นั่นแหละ ที่ออกจะเป็น “ปัญหาคาใจ” ของบรรดานักสังเกตการณ์โดยส่วนใหญ่ ที่ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกัน ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เลยเถิด เลยธง หรือเลยไปจาก “ขีดความสามารถ” ไม่ว่าของตัวผู้นำ รัฐบาล หรือแม้กระทั่ง “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “FED” ที่จะแก้ไขเยียวยาใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่มีปริมาณ “หนี้สิน” ปาเข้าไปใกล้ๆ จะเกือบ 30 ล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล...

อย่างเช่น “นายPeter Schiff” ซีอีโอบริษัท “Euro Pacific” นักลงทุนระดับโลก หมอดูทางเศรษฐกิจ ที่มีความแม่นยำไม่น้อยไปกว่าโหรอย่างคุณน้อง “เจ๊ฟองสนาน” บ้านเรา ที่กลับมองว่า “ชัยชนะ” ของ “โจ ไบเดน” ...อาจถือเป็น “ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจสำหรับตลาดหุ้นและระบบเศรษฐกิจอเมริกันทั้งหมด” หรือ “เราจะได้เห็นภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น การพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ มากกว่ายุคทรัมป์และจะนำมาซึ่งฟองสบู่ในตลาดหุ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้” นี่...หนักหนาสาหัสถึงขั้นนั้น เพราะแม้ว่าความพยายามที่จะ “รีดภาษี” จากบรรดาคนรวย หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติ เอามาช่วยเหลือจุนเจือ เยียวยา บรรดาคนชั้นกลาง หรือคนยากคนจน ไม่ว่าด้านสวัสดิการหรือสุขภาพ ตามแบบฉบับ “โอบามาแคร์” อะไรประมาณนั้น อาจถือเป็นนโยบายที่ออกจะ “เข้าท่า” มิใช่น้อย แต่ในสายตาของหมอดูทางเศรษฐกิจรายนี้ กลับเห็นว่า...โอกาสที่จะทำให้ “มูลค่า” ของหุ้นต่างๆ ในตลาดต้องลดระดับลงมา กระบวนการผลิต การลงทุนชะงักงัน ไปจนก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ภาวะฟองสบู่แตก ภายในปีหน้า ปีโน้น น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

พูดง่ายๆ ว่า...โดยรากฐาน หรือพื้นฐานทางเศรษฐกิจอเมริกา ได้กลายเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” จะเยียวยา ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ หรือไม่ว่าจะอาศัยกรรมวิธีทางเศรษฐกิจแบบไหนก็ตามที ตัวเลข สถิติ ที่แสดงให้เห็นถึงการถอยห่างจากเงินดอลลาร์ ชนิดไม่ว่าองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือกระทั่ง “Bank of America” (BOA) สรุปเอาไว้ว่า ได้ปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ตัวเลขการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูงยิ่งไปกว่ายุค “The Great Depression” ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ทำให้ตัวเลข GDP ติดลบไปถึง 4.4 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ทางออก ทางเลือกของอเมริกา ยังคงต้องเป็นไปแบบที่นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ ได้ให้ข้อสรุปมานานแล้วนั่นแหละว่า... “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ จะทำให้การบริหาร จัดการของรัฐบาลอเมริกัน เป็นไปในแบบความพยายามแก้ไขความผิดพลาดล้มเหลว อย่างมหันต์ ด้วยการกระทำความผิดพลาดล้มเหลวอย่างอภิมหามหันต์ จนกระทั่งเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ภาวะความผิดพลาดล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อนั้น...รัฐบาลย่อมหนีไม่พ้นต้องนำพาชาติทั้งชาติเข้าสู่สงครามในท้ายที่สุด” ดังนั้น...ความเนียนกว่า นุ่มกว่าของประธานาธิบดีรายใหม่ ถ้าหากเป็น “โจซึมเซา” หรือแม้แต่รองประธานาธิบดีที่อาจต้องเข้ามาแทนที่ อย่าง “นางกมลา แฮร์ริส” ก็ตาม อาจเป็นเพียงแค่ความพยายามเพิ่ม “ความชอบธรรม” ให้กับ “การลั่นกระสุนนัดแรก” หรือไม่งั้น...ก็คือการยอมรับสภาพต่อ “ความล่มสลาย” ของสังคมอเมริกัน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...นั่นแล...




กำลังโหลดความคิดเห็น