การประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันเปิดฉากขึ้นในวันจันทร์ (24 ส.ค.) ด้วยการยกย่องเชิดชูผลงานของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ขณะเดียวกันก็มีการปราศรัยข่มขวัญชาวอเมริกันว่าชีวิตของพวกเขาอาจเลวร้ายลง และอเมริกาจะเข้าสู่ยุคสังคมนิยมที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หาก โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตได้ครองบัลลังก์ทำเนียบขาว
ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ในตำแหน่งส่วนใหญ่มักจะกล่าวสุนทรพจน์ในคืนสุดท้ายของการประชุม แต่ ทรัมป์ กลับแหวกธรรมเนียมด้วยการปราศรัยต้อนรับผู้แทนลงคะแนนที่เมืองชาร์ล็อตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา ตั้งแต่คืนแรก แถมยังอ้างอย่างไร้หลักฐานว่าพรรคเดโมแครตมีเจตนาโกงเลือกตั้ง
สมาชิกรีพับลิกันให้สัญญาว่าจะกล่าวสุนทรพจน์ที่เน้นสร้างแรงบันดาลใจเชิงบวกเพื่อให้แตกต่างกับการประชุมของพรรคเดโมแครตที่พวกเขาวิจารณ์ว่า “เต็มไปด้วยความมืดมน” แต่สุดท้ายการปราศรัยส่วนใหญ่ก็ยังคงเน้นคาดเดาสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ หาก ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี
ทรัมป์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันเพื่อลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ถูกยกให้เป็นผู้นำที่ตอบสนองวิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างดีเยี่ยมจนช่วยปกป้องชีวิตชาวอเมริกันไว้ได้เป็นจำนวนมาก และจะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายคนโตของผู้นำสหรัฐฯ อ้างว่าบิดาของตน “ตอบสนองอย่างรวดเร็ว” เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของโควิด-19 ส่วนยอดผู้เสียชีวิตในอเมริกาที่สูงถึง 177,000 คนนั้นไม่ได้รับการเอ่ยถึง มิหนำซ้ำเขายังเรียกร้องให้ฐานเสียงรีพับลิกันตัดสินใจเลือกในวันที่ 3 พ.ย. ระหว่าง “การไปโบสถ์, ไปทำงาน, ไปเรียน” หรือ “การก่อจลาจล, ปล้นชิง และทำลายทรัพย์สิน”
ด้าน คิมเบอร์ลี กิลฟอยล์ ที่ปรึกษาแคมเปญหาเสียงของทรัมป์และแฟนสาวของโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ก็สาดโคลนใส่พรรคเดโมแครตว่าจ้องทำลายประเทศและทุกสิ่งทุกอย่างที่รีพับลิกันปกป้องเชิดชู รวมทั้งต้องการขโมยเสรีภาพและควบคุมความคิดของประชาชน
การประชุมใหญ่เป็นเวลา 4 วันนี้ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญสำหรับ ทรัมป์ วัย 74 ปี ซึ่งเวลานี้มีคะแนนนิยมตามหลังไบเดน ในการสำรวจความคิดเห็นของหลายสำนัก สืบเนื่องจากวิกฤตโรคระบาดที่ทำให้ชาวอเมริกันนับแสนต้องเสียชีวิตและอีกนับสิบๆ ล้านคนต้องตกงาน
ทางด้านพรรคเดโมแครตซึ่งจัดการประชุมไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็บรรยายภาพความย่ำแย่ของสังคมอเมริกัน หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปี
การประชุมของรีพับลิกันส่วนใหญ่ถูกจัดในรูปแบบเสมือน (virtual) เช่นเดียวกับพรรคเดโมแครต แม้ ทรัมป์ เองจะพยายามผลักดันให้พรรคจัดอีเวนต์ขนาดใหญ่ที่มีผู้สนับสนุนเข้าร่วมเป็นพันๆ คนก็ตาม
ทรัมป์ พยายามชูผลงานด้านการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อย หลังเกิดกรณีตำรวจฆ่าชายผิวสี ‘จอร์จ ฟลอยด์’ที่เมืองมินนิอาโปลิสจนนำมาสู่เหตุจลาจลครั้งใหญ่ทั่วอเมริกา นอกจากนี้เขายังยืนกรานที่จะเปิดโรงเรียนและฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ซึ่งสารทั้ง 2 ประการนี้ ทรัมป์ มุ่งที่จะซื้อใจกลุ่มคนชานเมือง โดยเฉพาะผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่ทอดทิ้งพรรครีพับลิกันหลังจากที่ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ
กลยุทธ์การสร้างภาพสังคมที่น่าหวาดกลัวนี้คล้ายๆ กับคำปราศรัยของ ทรัมป์ ในพิธีสาบานตนเมื่อปี 2017 ซึ่งเขาประกาศจะทำให้ปัญหาอาชญากรรม ความยากจน และความเสื่อมถอยของอุตสาหกรรมการผลิตจบสิ้นลง ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่า ชาวอเมริกันจะยังเชื่อคำโฆษณาเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่หลังจากที่ให้เวลา ทรัมป์ บริหารประเทศมาแล้วกว่า 3 ปี
หลังจากที่โพลทุกสำนักบ่งบอกว่าเขามีแววจะพ่ายให้กับ ไบเดน ทรัมป์ก็หันมาใช้วิธียัดข้อครหาว่าพรรคเดโมแครตจะ “ปล้น” การเลือกตั้ง และยังวิจารณ์ระบบลงคะแนนทางไปรษณีย์ว่าจะนำไปสู่การโกงเลือกตั้งขนานใหญ่
พรรคเดโมแครตระบุว่าการลงคะแนนทางไปรษณีจะช่วยลดความเสี่ยงที่ประชาชนจะติดเชื้อโควิด-19 จากการไปรวมตัวกันที่หน่วยเลือกตั้ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการเลือกตั้งหลายคนก็ยืนยันว่า การโกงผลเลือกตั้งนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสหรัฐฯ
ฝ่ายศัตรูของ ทรัมป์ เชื่อว่าการที่เขาดึงดันคัดค้านการโหวตทางไปรษณีย์ก็เพราะต้องการบีบให้คนออกไปใช้สิทธิ์น้อย และจะได้ใช้เป็นข้ออ้างปฏิเสธผลเลือกตั้งถ้าหากตนแพ้
รีพับลิกันยังพยายามชูประเด็นโจมตี ไบเดน และ ส.ว. คามาลา แฮร์ริส คู่หูชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขาว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกหัวซ้ายสุดโต่ง ทั้งยังกล่าวหา ไบเดน ว่าจะเข้ามาตัดงบประมาณตำรวจและห้ามการสำรวจน้ำมันแบบที่มีการเจาะชั้นหินด้วยแรงดันน้ำ (fracking) ซึ่ง ไบเดน เคยออกมาปฏิเสธแล้วทั้งสองประเด็น
สองนักการเมืองดาวรุ่งของรีพับลิกันอย่าง ส.ว. ทิม สก็อตต์ ซึ่งเป็นชาวรีพับลิกันผิวสีเพียงคนเดียวในวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมถึง นิกกี เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติซึ่งมีเชื้อสายอินเดียน-อเมริกัน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าพวกเขาไม่เชื่อว่า ไบเดน และเดโมแครตจะเข้ามาดูแลผลประโยชน์ของชนกลุ่มน้อยในอเมริกาได้ดีกว่าทรัมป์
“คนในพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่มักพูดกันจนเป็นแฟชั่นว่า อเมริกาเป็นรัฐเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย อเมริกาไม่ใช่ประเทศที่เหยียดเชื้อชาติ” เฮลีย์ ระบุ
เคต เบดิงฟิลด์ รองผู้จัดการทีมหาเสียงของไบเดน วิจารณ์การประชุมของรีพับลิกันในคืนแรกว่า “เต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกปั่นสร้างความแตกแยก และกระตุ้นความหวาดกลัวในสังคม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อเท็จจริงที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่มีเหตุผลที่ดีจะอ้างกับชาวอเมริกันว่าเพราะเหตุใดเขาจึงสมควรได้รับเลือกตั้งอีกสมัย”
ไบเดน ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดีในยุค บารัค โอบามา พยายามโหนกระแสความไม่พอใจมาตรการรับมือโควิด-19 ของรัฐบาลทรัมป์ รวมถึงเหตุจลาจลจากความไม่เป็นธรรมทางเชื้อชาติ และความกังวลว่าโรคระบาดอาจจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาทรุดยาว
นอกจากปัญหาปากท้องแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่านิสัยของ ทรัมป์ ที่มักจะพูดจาดูหมิ่นคนอื่นในที่สาธารณะ, ทะเลาะกับนักข่าว และแทบไม่สามารถจับเข่าคุยกับผู้นำเดโมแครตได้เลย ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมอเมริกันทุกวันนี้แตกแยกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ประธานาธิบดีคนนี้ทำให้อเมริกาถูกปกคลุมด้วยความมืดมนมานานเกินพอแล้ว สังคมมีแต่ความโกรธแค้น ความกลัว และความแตกแยกมากเกินไปแล้ว” ไบเดน กล่าว “ณ ที่นี่ผมขอให้สัญญากับท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมอบตำแหน่งประธานาธิบดีให้ผม ผมจะเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่สุด”