เอเจนซีส์ - ศึกโต้วาทีคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯดุเด็ดเผ็ดมัน ถึงแม้ซัดกันแบบสุภาพชน โดยเฉพาะประเด็นวิกฤตโรคระบาดที่ “แฮร์ริส” ระบุ เป็นหลักฐานชี้ชัดคณะบริหารทรัมป์ “ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์” ด้าน “เพนซ์” งัดมุกเดิม ยันประมุขทำเนียบขาวคำนึงถึงคนอเมริกันเป็นอันดับแรก พร้อมโบ้ยจีนเป็นต้นเหตุวิกฤตโรคระบาด อีกทั้งอ้างว่า การบังคับสวมหน้ากากเป็นการลิดรอนเสรีภาพประชาชน
การโต้วาทีครั้งนี้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ เมืองซอลต์เลค เมื่อวันคืนพุธ (7 ต.ค.) 27 วัน ก่อนถึงวันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน และเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ติดเชื้อโรคโควิด-19 ท่ามกลางบรรยากาศที่แม้โต้กันเข้มข้น แต่ก็รักษาความสุภาพ รวมทั้งไม่มีการเอ่ยชื่อจิกอีกฝ่ายหนึ่งตรงๆ ซึ่งตรงข้ามอย่างชัดเจนกับตอนที่ทรัมป์ดีเบตกับ โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่มีการโจมตีกันด้วยเรื่องส่วนตัว ซ้ำทรัมป์ยังพูดแทรกพูดขัดไม่เลิกตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี การดีเบตระหว่างรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ของพรรครีพับลิกัน กับ ส.ว. คามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ไม่มีแนวโน้มสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากนักในศึกเลือกตั้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกันทั่วประเทศยังให้ไบเดนมีคะแนนทิ้งห่างทรัมป์
แฮร์ริส ผู้ซึ่งถ้าไบเดนชนะ ก็จะกลายเป็นสตรีซึ่งก้าวสู่ตำแหน่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์อเมริกา กล่าวโจมตีผลงานของทรัมป์ในการรับมือวิกฤตโรคระบาดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯไปกว่า 210,000 คนทันที ว่า คนอเมริกันได้ประจักษ์แล้วว่า คณะบริหารชุดนี้เป็นคณะบริหารซึ่งล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์
วุฒิสมาชิกจากรัฐแคลิฟอร์เนียและอดีตอัยการผู้นี้ สำทับว่า ทรัมป์ปฏิบัติต่อบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าในฐานะ “คนทำงานที่ต้องเสียสละถูกสังเวย” โดยอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของทรัมป์กับผู้สื่อข่าวอาวุโส บ็อบ วูดวาร์ด พร้อมกล่าวหาทำเนียบขาวไม่รีบออกมาตรการรับมือทั้งที่รับรู้ความเสี่ยงของโควิด-19 แถมทรัมป์ยังบอกว่า โรคระบาดเป็นแค่เรื่องหลอกลวง
ด้าน เพนซ์ โต้ว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนเป็นอันดับแรกตั้งแต่ต้น โดยอ้างอิงคำสั่งแบนการเดินทางจากจีนนับจากวันที่ 31 มกราคม หรือหนึ่งเดือนหลังจากไวรัสโคโรนาอุบัติขึ้นครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น รวมทั้งโยนความผิดว่า วิกฤตโรคระบาดเกิดขึ้นเพราะจีน
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังโจมตีว่า แผนการรับมือโควิดของเดโมแครตดูเหมือนไปลอกเลียนคนอื่นมา เพราะไบเดนแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแผนดังกล่าว
ขณะที่เพนซ์ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการพบปะในทำเนียบขาวเพื่อเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดคนใหม่ที่แขกส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากและไม่เว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งต่อมาพบว่า หลายคนติดโควิด ในจำนวนนี้รวมถึงทรัมป์
เพนซ์แก้ตัวว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นกลางแจ้ง ก่อนที่จะหันไปแขวะแฮร์ริสและไบเดนที่ให้สัญญาว่า จะบังคับให้สวมหน้ากากในสถานที่ราชการและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วประเทศสวมหน้ากากว่า การกระทำดังกล่าวไม่เคารพเสรีภาพของประชาชนในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง
ด้านแฮร์ริสตอกกลับว่า การเคารพสิทธิ์ประชาชนควรเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลพูดความจริง และตั้งข้อสังเกตว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาทรัมป์เอาแต่พูดว่า ไวรัสโคโรนาไม่อันตราย
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับทรัมป์แล้ว เพนซ์ดูนิ่งกว่าหลายเท่า ทั้งยังกล่าวชมความสำเร็จของแฮร์ริส ซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้อพยพชาวจาไมกาและชาวอินเดีย และอาจเป็นรองประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาที่มีเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกัน
กระนั้น เพนซ์พยายามบรรยายภาพว่า แฮร์ริสเป็นพวกซ้ายสุดโต่งมากยิ่งกว่าเบอร์นี แซนเดอร์ส นักการเมืองแนวสังคมนิยมที่ลงสมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 ครั้งแต่คว้าน้ำเหลวทั้งสองครั้ง
เพนซ์ยังโจมตีว่า ถ้าไบเดนชนะจะมีการขึ้นภาษี แต่เรื่องนี้แฮร์ริส ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ชมว่า ประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ในการโจมตีคู่ต่อสู้บนเวทีดีเบต ยืนยันว่า ไบเดนให้คำมั่นว่า จะไม่ขึ้นภาษีประชาชนที่มีรายได้ต่อปีไม่ถึง 400,000 ดอลลาร์
เมื่อถูก ซูซาน เพจ ผู้ดำเนินรายการจากหนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ ถามเรื่องปัญหาโลกร้อน เพนซ์ ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแต่ยืนยันว่า กลไกตลาดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
เกี่ยวกับประเด็นเชื้อชาตินั้น เพนซ์กล่าวหาว่า การที่ไบเดนเชื่อว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอคติกับชนกลุ่มน้อยเท่ากับเป็นการดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ที่สวมเครื่องแบบและออกไปปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน แต่สำหรับตนและทรัมป์ยืนหยัดเคียงข้างเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
เพนซ์ ยังยืนยันว่า ทรัมป์ประณามกลุ่มลัทธิคนขาวเป็นใหญ่หลายครั้งแต่สื่อไม่ยอมลงข่าว ซึ่งถูกแฮร์ริสสวนกลับโดยยกตัวอย่างคำพูดอันลือลั่นของทรัมป์ เช่น การยกย่องว่า กลุ่มนีโอ-นาซี เป็น “คนดี” ระหว่างการชุมนุมในชาร์ลอตส์วิลล์ปี 2017 ที่กลายเป็นความรุนแรง