ทรัมป์ออกจากโรงพยาบาลเตรียมลุยหาเสียงต่อ หลังเข้ารักษาตัวฉุกเฉินจากการติดโควิดแค่ 4 วัน ลั่นรู้สึกดีขึ้นมาก พร้อมชักชวนคนอเมริกันออกไปใช้ชีวิตตามปกติไม่ต้องกลัวไวรัส ซ้ำถอดหน้ากากทันทีที่กลับถึงทำเนียบขาว เรียกเสียงวิจารณ์อีกครั้งจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ขณะที่ไบเดนเรียกร้องทรัมป์เลิกสื่อสารผิดๆ และควรยืนยันกับประชาชน ว่า หน้ากากช่วยรักษาชีวิต
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางออกจากศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์ รีด นอกกรุงวอชิงตัน ด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่ง “มารีนวัน” เมื่อวันจันทร์ (5 ต.ค.) และถอดหน้ากากออกทันทีที่เดินขึ้นระเบียงทางทิศใต้ของทำเนียบขาว แถมก่อนหน้านั้นไม่นาน เขายังทวีตว่า ไวรัสโคโรนาที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันเกือบ 210,000 คน ไม่มีอะไรน่ากลัว
ขณะที่เหลือเวลาไม่ถึงเดือนจะถึงกำหนดเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน และโพลหลายสำนักชี้ว่า ทรัมป์ยังคงมีคะแนนตามหลัง โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต การต้องนอนรักษาโควิดในโรงพยาบาลนานๆ ยิ่งทำให้ทรัมป์ไล่ตามไบเดนยากขึ้น
ในทางกลับกัน ดูเหมือนทรัมป์เชื่อว่า การออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วจะสามารถช่วยสร้างภาพว่า เขาเอาชนะไวรัสร้ายสำเร็จและกำลังจะกลับมานำประเทศฝ่าฝันปัญหาอีกครั้ง โดยเจ้าตัวทวิตว่า จะกลับไปลุยหาเสียงเร็วๆ นี้
ไม่นานหลังจากนั้น ทรัมป์ทวีตสำทับว่า อย่าไปกลัวโควิด พร้อมอวดอ้างว่า ตนเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นและเหมือนมีภูมิต้านทานโรคร้ายนี้แล้ว
ทวีตของทรัมป์เรียกเสียงวิจารณ์ดุเดือดทันที อาทิ วิลเลียม แชฟฟ์เนอร์ ศาสตราจารย์เวชศาสตร์ป้องกันและโรคติดเชื้อของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ในเมืองแนชวิลล์ บอกว่า ตกใจมากที่ทรัมป์ประกาศว่า โควิดไม่น่ากลัว ทั้งที่โรคนี้ทำให้คนตายในสหรัฐฯวันละเป็นพันเป็นหมื่นคน ทำลายเศรษฐกิจ และทำให้คนตกงาน
คริส คูนส์ วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต ทวิตว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ
ด้านไบเดนที่ตระเวนหาเสียงที่ฟลอริดาเมื่อวันจันทร์ เรียกร้องให้ทรัมป์บอกเล่าบทเรียนที่ถูกต้องกับประชาชนว่า หน้ากากช่วยรักษาชีวิตได้
แต่ดูเหมือนไม่ได้ผล เพราะหลังจากนั้นทรัมป์กลับโพสต์วิดีโอบนทวิตเตอร์บอกอเมริกันชนว่า อย่าปล่อยให้โควิดครอบงำชีวิต แต่ควรออกไปใช้ชีวิตตามปกติอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ดี ความพยายามในการสร้างภาพองอาจกล้าหาญของประธานาธิบดีวัย 74 ปีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ เกิดขึ้นวันเดียวกับที่เคย์ลีห์ แมคเอนานี เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว ยอมรับว่า ตนเองติดโควิด และเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการระบาดภายในทำเนียบขาว
ผู้ใกล้ชิดทรัมป์ที่ติดโควิดในขณะนี้รวมถึงเมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง, โฮป ฮิกส์ ผู้ช่วยคนสนิท, บิลล์ สเตเปียน ผู้จัดการทีมรณรงค์หาเสียง และผู้ช่วยของแมคเอนานี 2 คน รวมทั้งคนวงในใกล้ชิดทรัมป์คนอื่นๆ อีกกว่าครึ่งโหล
นอกจากนั้น แม้ทรัมป์ยืนยันว่า ตัวเองแข็งแรงดี แต่ความไม่โปร่งใสและการแถลงข่าวอาการป่วยของเขาที่มีการให้ข้อมูลขัดแย้งกัน และการที่ผู้คนรอบตัวพากันติดไวรัส กำลังช่วยกันทำลายความน่าเชื่อถือของทรัมป์
ทั้งนี้ ระหว่างการแถลงข่าวที่โรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด ครั้งสุดท้ายก่อนที่ทรัมป์จะเดินทางกลับทำเนียบขาว ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำตัวประธานาธิบดีเผยว่า ทรัมป์กลับมาแข็งแรงแล้วแต่ในอีก 1 สัปดาห์จากนี้ถือว่ายังไม่พ้นอันตรายโดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้น แม้ทรัมป์อ้างว่า โควิดไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องกังวล แต่ผลโพลกลับออกมาตรงกันข้ามว่า คนอเมริกาวิตกเรื่องนี้อย่างมาก การจัดการวิกฤตโรคระบาดของทรัมป์ที่ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คะแนนนิยมของไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีวัย 77 ปี พุ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสส์ที่จัดทำขึ้นเมื่อวันศุกร์-เสาร์ (2-3) หลังจากตรวจพบว่า ทรัมป์ติดไวรัส ชี้ว่า ไบเดนมีคะแนนนำถึง 10% และชาวอเมริกันเกือบ 2 ใน 3 คิดว่า ทรัมป์คงไม่ติดโรคโควิดถ้าป้องกันตัวจริงจัง
ก่อนติดโควิด คะแนนนิยมของทรัมป์ตกเป็นรองอยู่แล้วจากข้อครหากรณีเลี่ยงจ่ายภาษีรายได้เกือบทั้งหมดและเรื่องอื้อฉาวอีกมากมาย แต่อุปสรรคใหญ่ที่สุดที่อาจขัดขวางการครองทำเนียบขาวต่ออีกสมัยของทรัมป์คือ การรับมือโรคระบาด และตอนนี้ดูเหมือนอดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์ผู้นี้เล็งใช้การออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วหลังเข้ารับการรักษาเมื่อคืนวันศุกร์ (2) เพื่ออวดอ้างว่า ตนเองสามารถเอาชนะไวรัสและจะนำประชาชนทั้งประเทศสู่ชัยชนะด้วยเช่นกัน
ทางด้านไบเดนยังคงเดินหน้าหาเสียงอย่างช้าๆ แต่มั่นคงพร้อมเน้นย้ำข้อควรระวังด้านความปลอดภัยโดยไม่สนคำเย้ยหยันของทรัมป์ว่า อ่อนแอ
ขณะเดียวกัน การติดเชื้อของทรัมป์และเหล่าผู้ใกล้ชิดทำให้ผู้จัดการโต้วาทีระหว่างรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ กับคามาลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต ในคืนวันพุธ (8) นี้ เตรียมติดตั้งฉากกั้นทำด้วยแผ่นอะคริลิกใสและจัดให้ทั้งคู่อยู่ห่างกันกว่า 3.7 เมตร
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี/เอเจนซีส์)