เอพี - การให้ข้อมูลกลับไปกลับมาทำให้เกิดวิกฤตความน่าเชื่อถือสำหรับทำเนียบขาว โดยหัวหน้าคณะทำงานเผยทรัมป์ผ่านช่วงเวลาที่ “น่ากังวลมาก” ไปแล้วเมื่อวันศุกร์ (2 ต.ค.) แต่ยังต้องเจอช่วง “วิกฤต” อีก 2 วัน ตรงข้ามกับการประเมินที่ดูดีกว่าของทีมแพทย์ที่ไม่ยอมตอบคำถามว่า ต้องให้ออกซิเจนทรัมป์ตั้งแต่ในทำเนียบขาวก่อนส่งเข้าโรงพยาบาลหรือไม่
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงรักษาตัวจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติวอลเตอร์รีด ในวันอาทิตย์ (4 ต.ค.) โดยเมื่อวันเสาร์ (3 ต.ค.) มาร์ก มีโดว์ส หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์ว่า ทรัมป์ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ระหว่างการอัปเดตอาการเมื่อคืนวันเสาร์ หัวหน้าทีมแพทย์ของประธานาธิบดี กลับแสดงความเห็นแง่ดีอย่างระมัดระวัง แต่สำทับว่า อาการทรัมป์ยังไม่พ้นอันตราย
ช่วงค่ำวันเดียวกัน ทรัมป์ที่ไม่พอใจการให้ข่าวของมีโดวส์ ได้อัดวิดีโอจากห้องสวีตในโรงพยาบาล และยืนยันว่า เริ่มรู้สึกดีขึ้นและหวังว่า จะกลับไปทำงานได้เร็วๆ นี้ พร้อมแก้ต่างการตัดสินใจออกเดินสายและจัดการหาเสียงขนาดใหญ่ แม้ไวรัสโคโรนาระบาดว่า ไม่มีทางเลือก ในฐานะผู้นำเขาต้องเผชิญกับปัญหา ไม่ใช่หลบอยู่ในที่ปลอดภัย
การให้ข้อมูลกลับไปกลับมาและในช่วงเวลาที่ขัดแย้ง ทำให้เกิดวิกฤตความน่าเชื่อถือสำหรับทำเนียบขาวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ โดยที่สุขภาพของประธานาธิบดีและความเป็นผู้นำของอเมริกาไร้ความแน่นอน นอกจากนั้น การที่ทรัมป์ยังต้องรักษาตัวอีกหลายวันและการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา ยังทำให้คนอเมริกันจับตาอาการของทรัมป์อย่างกังวล
สุขภาพของทรัมป์ยังหมายถึงปัญหาความมั่นคงของชาติที่ไม่ได้สำคัญเพียงแค่การปฏิบัติงานของรัฐบาลอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลก ทั้งพันธมิตรและศัตรู
ในการแถลงข่าววันเสาร์ นายแพทย์ ฌอน คอนลีย์ และแพทย์คนอื่นๆ ทำให้เกิดข้อสงสัยมากกว่าตอบคำถามด้วยการปฏิเสธที่จะระบุว่า จำเป็นต้องให้ออกซิเจนทรัมป์หรือไม่ แม้นักข่าวถามย้ำหลายครั้ง โดยบอกแค่ว่า ไม่ได้ให้ออกซิเจนเมื่อวันพฤหัสบดี (1 ต.ค.) ซ้ำยังไม่ยอมให้รายละเอียดสำคัญบางอย่าง เช่น ทรัมป์มีไข้สูงเท่าไหร่ก่อนที่อุณหภูมิจะกลับสู่ระดับปกติ คอนลีย์ยังบอกว่า ทรัมป์เริมแสดงอาการโควิด-19 เมื่อบ่ายวันพฤหัสบดี หรือเร็วกว่าที่รับรู้กันแต่แรก
แต่แหล่งข่าวที่รับรู้อาการของทรัมป์เปิดเผยโดยไม่ระบุชื่อว่า ทรัมป์ต้องให้ออกซิเจนเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ทำเนียบขาวก่อนถูกนำส่งโรงพยาบาลทหารด้วยเฮลิคอปเตอร์ในช่วงค่ำวันเดียวกัน
คอนลีย์ระบุเมื่อวันเสาร์ว่า อาการต่างๆ ของทรัมป์ เช่น ไอเล็กน้อย คัดจมูก และอ่อนเพลีย เริ่มดีขึ้นแล้ว พร้อมเสริมว่า ทรัมป์ไม่มีไข้ติดต่อกัน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเอพีระบุว่า อาจเป็นเพราะยาแอสไพรินที่ช่วยให้อุณหภูมิลดลง รวมถึงปิดบังหรือบรรเทาอาการไข้
ฌอน ดูลีย์ แพทย์อีกคนเสริมว่า หัวใจ ตับ ไตทำงานปกติ ทรัมป์ไม่มีปัญหาในการหายใจหรือเดิน
แต่ระหว่างการอัพเดตอาการเมื่อคืนวันเสาร์ คอนลีย์แสดงความเห็นแง่ดีอย่างระมัดระวัง แต่สำทับว่า อาการทรัมป์ยังไม่พ้นอันตราย
ด้วยอายุ 74 ปี และเป็นโรคอ้วน ทรัมป์จึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงจากไวรัสโคโรนาที่มีผู้ติดเชื้อกว่า 7 ล้านคนและเสียชีวิตเกิน 200,000 คนในอเมริกาขณะนี้
สำหรับเมลาเนีย สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ติดโควิดเช่นเดียวกัน ยังคงรักษาตัวอยู่ในทำเนียบขาว โดยในวิดีโอ ทรัมป์ระบุว่า ภรรยาของตนรับมือได้ดีมากและพูดติดตลกว่า เป็นเพราะเมลาเนียอ่อนกว่าตนนิดหน่อย ทั้งที่จริงทั้งคู่อายุห่างกัน 24 ปี
มีโดวส์นั้นยืนยันว่า ทรัมป์มีอาการเล็กน้อยเมื่อเช้าวันศุกร์ ขณะที่ทำเนียบขาวพยายามสร้างภาพว่า เหตุการณ์ปกติดี และไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ตอนนั้นทรัมป์ได้ให้ออกซิเจนหรือไม่
เย็นวันเดียวกัน เคย์ลีห์ แม็กเอนานี โฆษกทำเนียบขาว ยืนยันอีกเสียงว่า ทรัมป์ยังปกติดีและทำงานตลอดทั้งวัน และที่ต้องส่งตัวไปวอลเตอร์รีดก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้น
ทั้งนี้ คณะบริหารของทรัมป์ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสนับจากที่ไวรัสระบาด ทั้งเรื่องสุขภาพของทรัมป์และการระบาดในทำเนียบขาว การเปิดเผยครั้งแรกว่า โฮป ฮิกส์ ผู้ช่วยใกล้ชิดของทรัมป์ติดโควิดมาจากสื่อ ไม่ใช่ทำเนียบขาว แถมบรรดาผู้ช่วยยังไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลสุขภาพพื้นฐาน เช่น อาการทั้งหมดของทรัมป์ ประเภทและผลการตรวจ
ในบันทึกที่เผยแพร่เมื่อคืนวันศุกร์ คอนลีย์ รายงานว่า ทรัมป์ได้รับยาต้านไวรัสเรมเดซิเวียร์ที่โรงพยาบาล หลังจากก่อนหน้านั้นเปิดเผยว่า ทรัมป์กินยาอีกตัวที่ทำเนียบขาว
ถึงกระนั้น คอนลีย์ ไม่ยอมระบุว่า ทรัมป์ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ก่อนที่จะได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อเมื่อคืนวันพฤหัสบดี โดยตอนแรกนั้นเขาบอกว่า ทรัมป์อยู่ในระยะการวินิจฉัย 72 ชั่วโมงซึ่งแปลว่า ผู้นำสหรัฐฯ ได้รับการยืนยันว่า ติดเชื้อตั้งแต่วันพุธ (30 ก.ย.) ต่อมาคอนลีย์จึงแถลงว่า ทรัมป์เข้ารับการตรวจเมื่อบ่ายวันพฤหัสบดี หลังมีการยืนยันว่า ฮิกส์ติดเชื้อและทรัมป์เริ่มแสดงอาการ
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวกำลังเร่งตามหาผู้ติดเชื้อกลุ่มใหม่ในบรรดาผู้ช่วยและพันธมิตรของทรัมป์ โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมพิธีเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (26 ก.ย.) ที่ทรัมป์เชิญแขกกว่า 150 คน ในงานที่จัดขึ้นที่โรสการ์เดน และมีการจับมือและสวมกอด ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก
นอกจากนั้น ยังมีการจัดงานภายในอาคารที่ เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลสูงสุด และครอบครัว รวมถึงวุฒิสมาชิกและแขกอื่นๆ อีกหลายคนใช้เวลาร่วมกันในพื้นที่ที่ค่อนข้างแออัด โดยในบรรดาผู้ร่วมงานเหล่านั้นที่ตรวจพบติดเชื้อแล้ว มีอาทิ คริส คริสตี้ อดีตผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์, เคลลีแอน คอนเวย์ ที่ปรึกษาทำเนียบขาว เป็นต้น