เอเจนซีส์ - วงในแอบแฉผู้นำสหรัฐฯกลัวตาย หลังรู้ผลติดไวรัส ประธานาธิบดี ทรัมป์ ถามผู้ช่วยในวันศุกร์ (2 ต.ค.)ก่อนขึ้น ฮ.มารีน 1 ไปโรงพยาบาลทหาร ว่า จะเสียชีวิตเหมือนเพื่อนเก่าแก่ สแตนลี เชรา นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์ก ที่เสียชีวิตจากโควิด-19 เมื่อเมษายน หรือไม่ พบบรรดาที่ปรึกษาต้องผลักดันให้ทรัมป์ขึ้น ฮ.หลังแสดงความลังเลไม่อยากไป ด้านอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ คริส คริสตี และอดีตที่ปรึกษาผู้นำสหรัฐฯ เคลลีแอนด์ คอนเวย์ ติดโควิด-19 เช่นกัน
เดลีเมล สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (4 ต.ค.) ว่า เบื้องหลังการเดินทางเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด (Walter Reed) ในวันศุกร์ (2) พบว่า ผู้นำสหรัฐฯในวัย 74 ปี ก่อนหน้าในคืนวันพุธ (30 ก.ย.) เขานอนหลับบนเครื่องแอร์ฟอร์ซวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สื่อสหรัฐฯอ้างอิงการรายงานจาก แวนิตี แฟร์ ที่ได้แหล่งข่าวสมาชิกพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นคนวงใน เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐฯถามย้ำกับบรรดาผู้ช่วยหลายครั้งว่า “ผมจะตายเหมือนสแตนลี เชรา (Stan Chera) หรือไม่” ขณะที่กำลังถูกนำตัวขึ้น ฮ.ประจำตำแหน่งมารีน 1 เพื่อไปยังโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด
ทั้งนี้ เชราเป็นอดีตนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์ก ซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทมาอย่างยาวนานของทรัมป์ และเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ในเดือนเมษายน และผู้นำสหรัฐฯได้กล่าวไว้อาลัยสั้นๆ ให้เพื่อนเก่าคนนี้ในระหว่างการแถลงข่าวสั้นประจำวัน
CNN รายงานเพิ่มเติมว่า ในตอนแรกดูเหมือนผู้นำสหรัฐฯลังเลที่จะไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล อ้างอิงแหล่งข่าวหลายคนให้ความเห็น ซึ่งถึงแม้ผู้นำสหรัฐฯซึ่งมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวก และเริ่มแสดงอาการป่วยในช่วงเริ่มต้นและเขาในเวลานี้ได้รับยารักษาขั้นทดลอง แต่เขากล่าวว่า เขาไม่อยากไปโรงพยาบาล
โดยทรัมป์ได้รับการบอกว่า สถานที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่าจะช่วยเขาได้หากว่าอาการผู้นำสหรัฐฯเกิดทรุดลง และพบว่าผู้นำสหรัฐฯซึ่งในช่วงแรกดูอ่อนแรงและต้องได้รับออกซิเจนเพื่อช่วยการหายใจในวันศุกร์ (2) อ้างอิงจากแหล่งข่าวใกล้ชิดให้สัมภาษณ์กับ CNN โดยผู้นำสหรัฐฯได้รับออกซิเจนนับตั้งแต่เขาเริ่มแสดงอาการป่วยให้ปรากฏ โดยในวันศุกร์ (2) สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์มีปัญหาเรื่องการหายใจ
ขณะที่หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว มาร์ค เมโดวส์ เปิดเผยกับฟ็อกซ์นิวส์ ว่า ระดับออกซิเจนของทรัมป์ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วเมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ (2) และเปิดเผยต่อว่าในเวลานั้นคณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่า ทรัมป์สมควรต้องไปโรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด เพื่อเป็นการป้องกัน
ซึ่งเขาได้รับผลการตรวจเป็นบวกในวันพฤหัสบดี (1) หลังจากที่เดินทางกลับมาจากเมืองเบดมินสเตอร์( Bedminster) รัฐนิวเจอร์ซีย์
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯได้รับยาขั้นทดลองเรมเดซีเวียร์ (remdesivir) จำนวน 8 กรัม ที่เป็นของบริษัท กีลีด ไซเอนเซส อิงค์ (Gilead Sciences Inc) ได้ถูกพัฒนาเพื่อการรักษาโรคอีโบลา โดยสถาบันแห่งชาติเพื่อสุขภาพสหรัฐฯ (National Institutes of Health) NIH ชี้ว่า ยาตัวนี้มีความก้าวหน้ามากที่สุดในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยพบว่าผู้ป่วยสามารถหายจากอาการป่วยภายใน 11 วัน โดยยาตัวนี้ยังอยู่ในขั้นการทดลองใช้กับมนุษย์
ซึ่งในคืนวันเสาร์ (3) แพทย์ประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณอน คอนลี (Sean Conley) อ้างอิงจากเดลีเมล เขาออกมารายงานผลความคืบหน้าอาการป่วยผู้นำสหรัฐฯหลังได้รับการวินิจฉัยการติดโควิด-19
“ค่ำวันนี้เขาได้รับโดสที่ 2 ของยาเรมเดซีเวียร์โดยไม่มีอาการแทรกซ้อน เขายังคงไม่มีไข้และไม่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยโดยมีระดับออกซิเจนที่ 96-98% ตลอดทั้งวัน”
CNN รายงานล่าสุดว่า หลังจากผู้นำสหรัฐฯมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นบวกแล้วพบว่า อดีตที่ปรึกษาประจำตัว เคลลีแอนด์ คอนเวย์ (Kellyanne Conway) ได้ประกาศในคืนวันศุกร์ (2) ว่า เธอติดเชื้อโควิด-19 เช่นเดียวกัน รวมไปถึงอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ คริส คริสตี (Chris Christie) ซึ่งใกล้ชิดกับทรัมป์ประกาศข่าวการติดโควิด-19 และพบว่า เขาเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในบ่ายวันเสาร์ (3) เป็นมาตรการป้องกัน
ด้านทำเนียบขาวเผยแพร่ภาพผู้นำสหรัฐฯหอบงานไปทำถึงในโรงพยาบาลที่รัฐแมรีแลนด์ระหว่างการรักษาตัว โดยในแถลงการณ์ล่าสุดที่ออกมาจากปากผู้นำสหรัฐฯเขากล่าวว่า “รู้สึกสบายขึ้นมากแล้ว”
ตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมโควิด-19 วันอาทิตย์ (4) ในสหรัฐฯอยู่ที่ 7,382,194 คน เสียชีวิต 209,382 คน ทั่วโลกติดเชื้อรวม
34,797,492 คน และเสียชีวิตรวม 1,031,576 คน