โทนี เอเวอร์ส ผู้ว่าการรัฐวิสคอนซินในวันอังคาร (22 ก.ย.) ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขครั้งใหม่ และขยายข้อบังคับสวมหน้ากากไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วสหรัฐฯ นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น ได้พุ่งเกิน 200,000 ราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เอเวอร์ส ระบุว่าการรวมตัวทางสังคมได้นำมาสู่จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นในรัฐวิสคอนซิน โดยเฉพาะในหมู่ประชากรอายุระหว่าง 18-24 ปี พร้อมวิงวอนบรรดานักศึกษาทั้งหลายที่กลับสู่มหาวิทยาลัยแล้วในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง อย่าด่วนออกไปเที่ยวตามผับบาร์ต่างๆ และสวมหน้ากากป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
“เรากำลังพบเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลภายในรัฐของเรา โดยเฉพาะตามมหาวิทยาลัย” ผู้ว่าการรัฐแถลง
มาตรการบังคับสวมหน้ากาก เป็นส่วนหนึ่งของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขครั้งที่ 2 ที่ผู้ว่าการรัฐจากเดโมแครตแถลงในช่วงเดือนกรกฎาคม แต่มันมีกำหนดหมดอายุในวันจันทร์ (28 ก.ย.) ทั้งนี้พวกอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่งได้ยื่นคัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาล โดยโต้แย้งว่า เอเวอร์ส ละเมิดกฎหมายรัฐ โดยใช้อำนาจฉุกเฉินมากกว่าหนึ่งครั้ง
รัฐวิสคอนซิน เป็นหนึ่งในรัฐที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดในสหรัฐฯช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันรัฐแห่งนี้ก็มีอัตราการตรวจเชื้อโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ที่ 17%
จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในรัฐวิสคอนซิน ส่งผลให้พวกเขากลับไปอยู่ในบัญชีกักกันโรคนักเดินทางของชิคาโก ซึ่งบังคับบุคคลใดก็ตามที่เดินทางมาจากรัฐวิสคอนซิน ต้องกักกันโรคตนเองเป็นเวลา 14 วัน
ความเคลื่อนไหวของรัฐวิสคอนซิน มีขึ้นในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วสหรัฐฯพุ่งเกิน 200,000 คน สูงสุดในโลก อย่างไรก็ตาม จากนับของรอยเตอร์ ปัจจุบันพวกเขาสูญเสียผู้คนจากภัยร้ายไวรัสมรณะราวๆ 800 คนต่อวันตามค่าเฉลี่ย 1 สัปดาห์ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 2,806 รายเมื่อวันที่ 15 เมษายน
ในช่วงเดือนแรกๆ ของการแพร่ระบาด พวกผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดหมายว่าจำนวนผู้เสียชีวิตสูงสุดในสหรัฐฯจากโรคระบาดใหญ่ น่าจะอยู่ที่ราวๆ 200,000 คน “จำนวนผู้เสียชีวิต 200,000 คน เป็นเรื่องจริงจัง และเป็นเรื่องตกตะลึงที่ควรใส่ใจ” นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี หมอใหญ่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด และเป็นสมาชิกคนสำคัญในคณะทำงานเฉพาะกิจสู้โควิด-19 ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกกับซีเอ็นเอ็น
ช่วงเวลานั้น เฟาชี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อแถวหน้าของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อาจคร่าชีวิตชาวอเมริกันถึง 200,000 ราย และเตือนด้วยว่า เป็นเรื่องหลักเลี่ยงไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูหนาว เขายังแสดงความกังวลอีกว่า หลายพื้นที่ของประเทศไม่ได้บังคับใช้มาตรการทางสาธารณสุข
ด้วยเหลือเวลาไม่ถึง 6 สัปดาห์ ก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน แนวทางรับมือกับโควิด-19 ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และภาวะเศรษฐกิจขาลง อันเนื่องจากผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กำลังกัดเซาะคะแนนนิยมของประธานาธิบดีรายนี้
อย่างไรก็ตาม ระหว่างปราศรัยหาเสียงที่เมืองสวอนตัน รัฐโอไฮโอ เมื่อวันจันทร์ (21 ก.ย.) ทรัมป์โอ้อวดความพยายามของเขาในวิกฤตด้านสาธารณสุขครั้งนี้ “มันแทบไม่ส่งผลกระทบกับใครเลย มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์” ทรัมป์กล่าวถึงไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่แพร่เชื้อสู่ผู้คนในสหรัฐฯแล้วเกือบ 6.9 ล้านคน “มันส่งผลกระทบกับคนชราที่มีปัญหาโรคหัวใจและปัญหาอื่นๆ ถ้าพวกเขามีปัญหาอื่นๆ มันถึงจะส่งผลกระทบ” เขากล่าว แม้ทุกหลักฐานที่ปรากฏจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาพูดก็ตาม
บ่อยครั้งที่ ทรัมป์ ตั้งแง่กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ ในนั้นรวมถึงคณะผู้เชี่ยวชาญในรัฐบาลของเขาเอง ในทุกๆ เรื่องไล่ตั้งแต่กรอบเวลาของวัคซีน การกลับมาเปิดสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจ รวมไปถึงความสำคัญของการปกปิดใบหน้าเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัส ทั้งนี้ ทรัมป์ ไม่สนับสนุนคำสั่งบังคับสวมหน้ากากทั่วประเทศ แถมยังจัดชุมนุมทางการเมืองที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก และส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากากป้องกันโควิด-19
นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังยอมรับว่า เขากลบเกลื่อนอันตรายของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในช่วงต้นๆ ของการแพร่ระบาด เพราะว่าเขาไม่ต้องการก่อความตื่นตระหนก
สถาบันสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน คาดหมายว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ จะถึง 378,000 คน ในช่วงสิ้นปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งแตะระดับ 3,000 คนต่อวันในเดือนธันวาคม
จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ 6 คนจากประชากรทุกๆ 10,000 คน ถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดชาติหนึ่งในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามากกว่า 70% ของผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
(ที่มา:รอยเตอร์)