เอเอฟพี – ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โจมตี โจ ไบเดน ผู้สมัครประธานาธิบดีคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตว่าเป็นพวก “ด้อยสติปัญญา” ระหว่างปราศรัยต่อผู้สนับสนุนที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) พร้อมทั้งเชิดชูตัวเองว่าเป็นเสมือนผู้ปกป้องสหรัฐฯ ให้พ้นจากความวุ่นวายของลัทธิสังคมนิยม
ถ้อยคำปราศรัยซึ่งเต็มไปด้วยการวาดภาพที่น่ากลัวเกินจริงของชีวิตชาวอเมริกันภายใต้ผู้นำสายเดโมแครตมีขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดี (27) พร้อมกับเตือนว่า “จะไม่มีประชาชนคนใดปลอดภัย หากอเมริกาอยู่ภายใต้การนำของ ไบเดน”
ทรัมป์ กล่าวต่อบรรดาผู้สนับสนุนซึ่งมารวมตัวกันที่ท่าอากาศยานเมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ว่า ตนมั่นใจว่าจะชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย. อย่างแน่นอน
“มีใครยังสงสัยอยู่อีกหรือไม่” ทรัมป์ ตั้งคำถาม
“ถ้าผมจะต้องแพ้ให้แก่คนด้อยสติปัญญาอย่างนั้น ผมไม่เอาหรอก โจผู้เซื่องซึม... ผมไม่ต้องการ” ทรัมป์ เอ่ยถึงคู่แข่งซึ่งเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และวุฒิสมาชิกที่ดำรงตำแหน่งมายาวนาน “หมอนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ายังมีชีวิตอยู่”
ทรัมป์ วัย 74 ปี โอ้อวดตนเองว่าเป็นผู้ที่คอยปกป้องสหรัฐฯ จากพวกนิยมอนาธิปไตย (anarchists) ในพรรคเดโมแครต และอ้างว่าขณะนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปกว่า 180,000 คนสามารถควบคุมได้แล้ว
ทรัมป์ กล่าวท่ามกลางเสียงเชียร์ว่า ไบเดน วัย 77 ปี เป็นคน “อ่อนแอ” และ “เป็นตัวแทนพรรคที่ห่วยที่สุดเท่าที่เดโมแครตเคยมีมา” มิหนำซ้ำยังกล่าวหาอย่างไร้หลักฐานว่า ไบเดน ซึ่งนับถือคริสต์นิกายคาทอลิกเป็นพวก “ต่อต้านพระเจ้า”
ผู้นำสหรัฐฯ รายนี้พยายามชูเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหัวใจสำคัญในการหาเสียง ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางเชื้อชาติและความรุนแรงของตำรวจต่อคนผิวสีที่จุดชนวนการประท้วงทั่วสหรัฐอเมริกาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
หลังจากกรณีของ จอร์จ ฟลอยด์ หนุ่มผิวสีซึ่งเสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับที่เมืองมินนิอาโปลิสเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ล่าสุดยังมาเกิดเหตุตำรวจผิวขาวยิง ‘จาค็อบ เบลก’ ชายผิวดำที่เมืองเคโนชา รัฐวิสคอนซิน ซึ่งปลุกเร้าความโกรธแค้นของชาวอเมริกันจนเกิดเป็นเหตุจลาจลครั้งใหญ่อีกระลอก
ทรัมป์ ยอมรับว่าสังคมอเมริกากำลังเผชิญ “ความเกลียดชังทางเชื้อชาติที่เพิ่มขึ้น” แต่ก็โทษสื่อบางสำนักอย่างซีเอ็นเอ็น และ MSNBC ว่ามีส่วนนำเสนอข่าวไปในเชิงปลุกปั่นความรุนแรง
“พวกเขารู้ตัวดีว่ามีส่วนยั่วยุให้สถานการณ์เลวร้ายลง” ทรัมป์ กล่าว
คำพูดของผู้นำสหรัฐฯ สวนทางกับ ไบเดน ซึ่งออกมาชี้หน้า ทรัมป์ ว่าเป็นตัวการ “ปลุกปั่นความรุนแรง” และ “ราดน้ำมันลงในกองไฟ” เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง