(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
US chip industry won’t survive tech war, Chinese experts say
By DAVID P. GOLDMAN
09/09/2020
พวกบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ จำเป็นต้องอาศัยรายรับอันมหาศาลจากการขายในตลาดจีนเพื่อเป็นตัวทำกำไรและเป็นงบสำหรับการวิจัยและการพัฒนาต่อไป ดังนั้นพวกผู้เชี่ยวชาญจีนจึงมองว่า มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่บริษัทเหล่านี้จะล้มหายตายจากไป ในสงครามเทคที่อเมริกาทำกับจีนเวลานี้
สงครามจำนวนมากเกิดขึ้นมาเพราะฝ่ายที่เป็นปรปักษ์กันมีทัศนะความคิดเห็นซึ่งผิดแผกแตกต่างในเรื่องผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นมา ทว่าในสงครามเทคโนโลยีจีน-อเมริกัน ปรากฏว่าทั้งพวกผู้บริหารของบริษัทเทคจีนและของบริษัทเทคอเมริกันกลับต่างเสนอเหตุผลระบุว่า พวกยักษ์ใหญ่เซมิคอนดักเตอร์อเมริกันจะกลายเป็นผู้พ่ายแพ้สูญเสีย ผู้ที่มองผิดแปลกออกไปคือคณะบริหารทรัมป์ ซึ่งดูเหมือนจะเชื่อว่าตนเองสามารถปราบปรามเอาชนะจีนได้ในสงครามเทค
เมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวที่ระบุ คณะบริหารทรมป์กำลังชั่งใจว่าจะใช้มาตรการแซงก์ชั่นเล่นงานบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ป (Semiconductor Manufacturing International Corp ใช้อักษรย่อว่า SMIC) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน ดีหรือไม่ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในบริษัทเทคใหญ่ของจีนตอบว่า “ฉากทัศน์ในช่วงเวลาขณะนี้ก็คือ มันแค่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ (พวกผู้ผลิตชิปอเมริกัน) จะไม่อาจอยู่รอดมีชีวิตต่อไปได้” โดยที่จีนจะตอบโต้แก้เผ็ดด้วยการทุ่มเททรัพยากรมากมายมหาศาลหนุนหลังเสริมส่งแคมเปญการรณรงค์เพื่อเข้าแทนที่พวกผู้ออกแบบชิปอเมริกัน, พวกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชิป, และพวกโรงงานผลิตอุปกรณ์ทำชิป, และผลักไสไล่ส่งพวกเขาออกไปจากตลาด ผู้บริหารชาวจีนผู้นี้บอก
บรรดาบริษัทที่ตกอยู่ในข่ายมีความเสี่ยง มีดังเช่น พวกออกแบบชิปอย่าง ควอลคอมม์ (Qualcomm) และ เอ็นวิเดีย (Nvidia), พวกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชิปอย่าง แอปพลายด์ แมตทีเรียลส์ (Applied Materials), แลม รีเสิร์ช (Lam Research), และ เคแอลเอ-เทนคอร์ (KLA-Tencor) ดัชนีฟิลาเดลเฟีย เซมิคอนดักเตอร์ อินเด็กซ์ (Philadelphia Semiconductor Index) ติดลบ 5.7% หรือถ้าคิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดก็จะเท่ากับ 100,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 4 กันยายน ภายหลังมีรายงานข่าวว่าจีนกำลังเตรียมที่จะเปิดตัวโครงการขนาดมหึมาในการพัฒนาสิ่งที่เรียกกันว่า เซมิคอนดักเตอร์เจเนอเรชั่นที่ 3 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนอุดหนุนระยะ 5 ปีมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับอุตสาหกรรมเทคทั้งหลาย
ร่างกฎหมายของอเมริกันที่จะจัดหาเงินงบประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์มาใช้ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า ได้ถูกเผยแพร่หมุนเวียนกันมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่แล้ว แต่ดูเหมือนมันได้สูญหายไปเสียแล้วในท่ามกลางการเจรจาต่อรองแบบเตะถ่วงเชื่องช้าในเรื่องเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ เพื่อมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ข่าวรั่วซึ่งปรากฏออกมาเกี่ยวกับแผนการของคณะบริหารทรัมป์ที่จะปฏิเสธไม่ให้ SMIC สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐฯ อาจจะเป็นการตอบโต้ต่อรายงานเกี่ยวกับแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีน หุ้น เอช (H-shares) ของ SMIC ราคาหดหายไปถึง 23% ในตลาดฮ่องกงวันจันทร์ (7 ก.ย.) ส่วน หุ้น เอ (A-shares) ของบริษัทซึ่งซื้อขายกันที่เซี่ยงไฮ้ ติดลบ 13%
พวกผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันบางคนหวั่นกลัวว่า การแซงก์ชั่นเล่นงาน SMIC ตามที่มีการเสนอกันนี้ อาจจะผลักดันจีนให้เข้าสู่สงครามการค้าแบบเต็มรูปแบบในการต่อสู้กับสหรัฐฯ มาตรการต่างๆ ที่จีนอาจจะนำออกมาใช้ได้ ก็มีดังเช่น การห้ามกิจกรรมในจีนของแอปเปิลและพวกบริษัทสหรัฐฯรายใหญ่อื่นๆ, การจำกัดการส่งออกเครื่องสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์, ตลอดจนการห้ามจัดส่งพวกแร่หายาก (rare earths)
อย่างไรก็ดี พวกผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ต่างเชื่อว่า จีนจะยังแค่เตรียมพร้อมเอาไว้โดยไม่ลงมือทำอะไรจริงจัง จนกว่ารูปร่างหน้าต่างของนโยบายสหรัฐฯในอนาคตจะเกิดความชัดเจนขึ้นมาแล้วภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้
การเลือกเอา SMIC มาเป็นเป้าเพื่อเล่นงานนั้น คือการเลือกอย่างย่ำแย่ แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมสหรัฐฯหลายรายแสดงความคิดเห็นโต้แย้ง รายงานชิ้นหนึ่งจากบริษัทให้คำปรึกษา เอสโอเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (SOS International) ซึ่งได้รับการอ้างอิงจากวอลล์สตรีทเจอร์นัลเป็นที่แรก อ้างว่า “มหาวิทยาลัยของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนและพวกนักวิจัยของเครือข่ายอุตสาหกรรมทหารของจีนชุดหนึ่ง ต่างใช้การประมวลผลและชิปของ SMIC ในการดำเนินการวิจัยของพวกเขา เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าการวิจัยนี้ได้รับการกำหนดจัดวางให้เป็นไปตามคุณสมบัติเฉพาะทางการผลิต (production specifications) ของ SMIC ทำให้มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะผลิตชิปของพวกเขา ณ โรงงานทำชิปแห่งอื่นๆ”
แต่ที่ปรึกษาของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายสำคัญมากรายหนึ่งโต้แย้งว่า “ฝ่ายทหารของจีนไม่ได้ซื้อชิปที่ทำให้โดยเฉพาะ (custom chips) จากทาง SMIC พวกเขาได้ชิปมาจากฝ่ายที่สามด้วยการสั่งซื้อจาก TSMC” ซึ่งเป็นโรงงานผลิตชิประดับท็อปของโลกที่ตั้งฐานอยู่ในไต้หวัน “ชิปที่ฝ่ายทหารของจีนใช้กันอยู่ส่วนใหญ่แล้วเป็นชิปทั่วไป (generic chips) ซึ่งมีขายกันในตลาด ทำนองเดียวกับเพนตากอนนั่นเอง มันต้องใช้จ่ายถึงราว 500 ล้านดอลลาร์ทีเดียวในการออกแบบชิปที่สั่งให้โรงงานทำให้โดยเฉพาะ เพนตากอนไม่ได้มีงบประมาณสำหรับเรื่องอย่างนี้ กองทัพปลดแอกประชาชนจีนก็เหมือนกัน ดังนั้น SMIC จึงไม่ได้เป็นผู้ผลิตชิปรายหลักสำหรับการนำเอาไปประยุกต์ใช้ทางการทหาร วอลล์สตรีทเจอร์นัลและแหล่งข่าวต่างๆ ของพวกเขาได้ข้อมูลข่าวสารผิดๆ พลาดๆ มา” ขณะที่ทำเนียบขาว “ก็ไม่ได้กำลังพิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้” ที่ปรึกษารายนี้กล่าวต่อ
ทางด้านผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งในบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของจีนแห่งหนึ่งบอกว่า การสั่งซื้อชิปของฝ่ายทหารจีนจากพวกบริษัทจีนนั้น เป็นการดำเนินการผ่านพวกผู้จัดจำหน่ายมือสองและมือสามอย่างสับสนวุ่นวายยิ่ง จนกระทั่งไม่ว่ากองทัพปลดแอกประชาชนจีนหรือพวกบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชี “entity list” ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ต่างก็ไม่ได้พึ่งพาอาศัย SMIC ทั้งนี้ SMIC มีส่วนแบ่งเพียงแค่ 3% ของตลาดชิปทั่วโลก และยังขายให้แก่ควอลคอมม์ตลอดจนบริษัทอเมริกันอื่นๆ ด้วย แบบเดียวกับที่ขายให้พวกลูกค้าชาวจีน
มีผู้เชี่ยวชาญบางรายในแวดวงอุตสาหกรรมนี้โต้แย้งว่า กระทั่งถ้าหากจีนสามารผลิตชิปออกมาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอุปกรณ์สหรัฐฯเลย การที่คณะบริหารทรัมป์บอยคอตต์ห้ามขายซอฟต์แวร์ให้แก่ หัวเว่ย และ แซดทีอี ก็ยังจะขัดขวางไม่ให้พวกเขาสามารถออกแบบและทดสอบชิปแบบสั่งให้โรงงานทำเฉพาะ โดยที่ชิปแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในเครื่องสมาร์ตโฟนตลอดจนสถานีฐาน 5จี นี่จึงอาจจะสามารถส่งผลให้หัวเว่ยต้องปิดตัวไป และทำให้แผนการของจีนที่จะนำเอาสถานีฐาน 5จี ออกสู่ตลาดให้ได้ 6 ล้านชุดภายในปี 2024 ต้องพังครืน ทั้งนี้ตามการประมาณการของผู้มีความเห็นเช่นนี้รายหนึ่ง “มันจะทำให้จีนต้องใช้เวลา 10 ปีในการผลิตซ้ำสิ่งที่พวกบริษัทอเมริกันระดับท็อปกำลังทำกันอยู่แล้วในเวลานี้” ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมรายหนึ่งบอก
แต่พวกแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมนี้ที่เป็นคนจีนกล่าวว่า การที่วอชิงตันแซงก์ชั่นเพื่อสกัดกั้นไม่ให้หัวเว่ยสามารถครอบครองซื้อหาพวกเครื่องมือในการออกแบบชิปนั้นจะไม่ได้ผลหรอก เพราะเวลานี้พวกรัฐบาลท้องถิ่นของจีนกำลังกลายเป็นลูกค้ารายท็อปของเหล่าบริษัทสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้ทำซอฟต์แวร์การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ (Electronic Design Automation หรือ EDA) ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการออกแบบและการทดสอบชิปที่สามารถโปรแกรมได้ในระดับไฮ-เอนด์ (high-end programmable chips) เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นิกเคอิ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asia.nikkei.com/Business/China-tech/US-chip-software-makers-thrive-in-China-with-non-Huawei-clients) ก็เสนอข่าวว่า “บริษัทเคเดนซ์ (Cadence) รายงานว่าทำยอดขายไปยังจีนได้ 83.8 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสมกราคม-มีนาคมปีนี้ คิดแล้วเท่ากับ 13% ของยอดขายโดยรวมของบริษัท และเท่ากับพุ่งพรวดขึ้นมา 80% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2018 อันเป็นปีแรกที่เคเดนซ์เปิดเผยตัวเลขเหล่านี้ ถึงแม้บริษัทแห่งนี้ได้ยุติการค้าขายกับหัวเว่ยไปแล้ว”
พวกรัฐบาลท้องถิ่นของจีนกำลังนำเอาซอฟต์แวร์ออกแบบชิปเหล่านี้ไปให้แก่พวกกิจการสตาร์ทอัปจำนวนหนึ่ง “นี่คือรูปแบบหนึ่งของการประมวลผลแบบคู่ขนาน (parallel processing)” ผู้บริหารของจีนรายหนึ่งอธิบาย “แทนที่จะทำงานเรื่องการออกแบบชิปกันตรงส่วนกลาง (ที่บริษัทไฮซิลิคอน HiSilicon ซึ่งเป็นกิจการด้านการออกแบบชิปที่อยู่ในเครือหัวเว่ย) พวกวิศวกรคนเดียวกันนั่นแหละจะไปรับจ็อบที่บรรดาบริษัทสตาร์ทอัป และแจกจ่ายหน้าที่การงานอย่างเดียวกันไปยังบริษัทเล็กๆ ที่รวมกลุ่มกันเป็นจำนวนหลายร้อยแห่ง”
ผู้บริหารรายหนึ่งของบริษัทดีไซน์ชิปของจีนแห่งหนึ่ง บอกว่า “พวกเครื่องมือออกแบบชิปทำให้การดีไซน์และทดสอบชิปกลายเป็นเรื่องง่ายจริงๆ นี่ทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในเมืองจีนนั้นมีอะไรมีประสิทธิภาพบ้างล่ะ? รัฐบาลจีนเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพหรือเปล่า? พวกเขาสามารถส่งวิศวกร 10,000 คนไปเพื่อออกแบบส่วนประกอบแค่ส่วนเดียวก็ได้”
จีนอาจจะไม่น่าสามารถผลิตชิปเพื่อใช้ในสมาร์ตโฟนระดับท็อปออฟเดอะไลน์ได้ โดยที่ชิปอย่างนี้ซึ่งเป็นตัวให้พลังแก่สมาร์ตโฟนไฮ-เอนด์นั้น มีขนาดความกว้างของ transistor gate เล็กนิดเดียว (7 นาโนเมตรหรือน้อยกว่านั้นอีก) พวกโรงงานผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลกเวลานี้ --ซึ่งเป็นของผู้ผูกขาด 2 ราย ได้แก่ ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอมพานี (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ใช้อักษรย่อว่า TSMC) และซัมซุง— จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกัดกรด เอ็กซ์ตรีม อัลตรา-ไวโอเลต (Extreme Ultra-Violet lithography machines) ซึ่งมี เอเอสเอ็มแอล (ASML) แห่งเนเธอร์แลนด์เป็นผู้ผลิตแต่เพียงรายเดียวในโลก รวมทั้งนำเอาอุปกรณ์ของสหรัฐฯมาประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเชิงพาณิชย์ แต่จีนสามารถทำอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ของตนเองได้อย่างเพียงพอ รวมทั้งสามารถซื้อเครื่องจักรต่างๆ จากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้อย่างเพียงพอ สำหรับการผลิตชิปขนาดทดแทนที่อาจจะหยาบกว่าแต่อยู่ในสภาพพร้อมนำไปใช้งานได้
เรื่องที่จีนเข้าถึงอุปกรณ์ของญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้ เป็นเรื่องที่คาดเดากันในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ โดยมีแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมนี้รายหนึ่งบอกว่าบริษัทใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในด้านนี้ คือ โตเกียว อิเล็กตรอน (Tokyo Electron) “ได้ทำตามกฎเกณฑ์อเมริกันในอดีตที่ผ่านมา” จีนนั้นเป็นที่มาของรายรับ 22% ของโตเกียว อิเล็กตรอน เมื่อปีที่แล้ว เปรียบเทียบกับที่ได้จากไต้หวันซึ่งเท่ากับ 22% และที่ได้จากญี่ปุ่นที่เท่ากับ 14% ขณะเดียวกัน จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในปี 2019 สำหรับ ไฮนิกซ์ (Hynix) ผู้ผลิตอุปกรณ์ทำเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของเกาหลีใต้ โดยยอดขายในจีนมีอัตราส่วนเท่ากับ 46% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท
ระหว่างปี 2019 มีรายงานว่าจีนได้ว่าจ้างวิศวกรผู้ผลิตชิปชาวไต้หวันจำนวน 3,000 คนไปสร้างการผลิตชิปภายในประเทศของตนขึ้นมา และแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมจีนหลายรายบอกว่า จำนวนจริงๆ ของคนไต้หวันซึ่งกำลังทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตชิปของแผ่นดินใหญ่นั้น มากกว่าตัวเลขที่รายงานกันออกมาหลายเท่าตัวนัก
จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลกทั้งสำหรับเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์ทำเซมิคอนดักเตอร์ ตามตัวเลข ณ ไตรมาสสองของปี 2020 นั้น 56% ของยอดขายของซินอฟซิส (Synopsys) และ 55% ของยอดขายของเคเดนซ์ เป็นการจำหน่ายให้พวกผู้ซื้อชาวต่างประเทศ สำหรับกรณีของพวกบริษัทออกแบบชิป ปรากฏว่า 92% ของยอดขายของเอ็นวิเดีย และ 89% ของยอดขายของควอลคอมม์ มาจากการขายไปต่างแดน ขณะที่จีนนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์เป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยส่วนใหญ่ของจำนวนนี้เป็นคุณูปการโดยตรงหรือไม่ก็โดยอ้อมให้แก่รายรับของพวกบริษัทออปแบบชิปสหรัฐฯ, ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สหรัฐฯ, และผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปสหรัฐฯ นั่นเอง
หากปราศจากรายรับซึ่งได้จากจีนแล้ว อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อเมริกันก็ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะประคับประคองระดับของการวิจัยและการพัฒนาซึ่งจำเป็นสำหรับการรักษาฐานะการเป็นผู้นำของตลาดเอาไว้ ในตอนเริ่มต้นปี 2020 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯได้เคยคัดค้านข้อเสนอตอนแรกที่จะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีแซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ โดยทางกระทรวงหยิบยกเหตุผลขึ้นมาโต้แย้งว่ามันจะเป็นการทำให้รายรับของพวกบริษัทอเมริกันที่เป็นผู้นำตลาดต้องลดน้อยลง และบังคับให้ต้องตัดงบประมาณเรื่องการวิจัยและการพัฒนา ทำเนียบขาวตอนแรกเริ่มทีเดียวได้เดินตามเหตุผลข้อโต้แย้งของกลาโหม แต่แล้วก็ได้หันหัวเลี้ยวกลับเป็นตรงกันข้ามในเดือนพฤษภาคม
ถึงเวลานี้พวกบริษัทสหรัฐฯกำลังประสบกับฉากทัศน์ซึ่งกระทรวงกลาโหมเคยเตือนเอาไว้ มีผู้บริหารชาวจีนผู้หนึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ฉากทัศน์ภาพสมมุติสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทอเมริกันเหล่านี้ก็คือ มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งตลาด (ในประเทศจีน) ซึ่งในกรณีเช่นนี้จะทำให้บริษัทสหรัฐฯเหล่านี้ยังสามารถอยู่รอดได้ “อย่างไรก็ดี ฉากทัศน์ในขณะนี้ก็คือ มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะไม่รอด จีนไม่จำเป็นต้องทำการส่งออก (ชิป) ด้วยซ้ำ –พวกเขาเพียงแค่ผลิตขึ้นมาเพื่อการบริโภคของพวกเขาเองก็พอ นั่นก็จะเป็นการกวาดบริษัทสหรัฐฯเหล่านี้ออกไปแล้ว”
นักเศรษฐศาสตร์ชาวจีนชื่อ เฉิน จิง (Chen Jing) เขียนเอาไว้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.guancha.cn/chenjing/2020_09_07_564261.shtml) ในเว็บไซต์ข่าวภาษาจีน guancha.cn ว่า “ในระยะยาว แผนการผลิตชิปให้ได้อย่างเป็นอิสระของจีน น่าจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อรายได้ของพวกบริษัทสหรัฐฯที่เกี่ยวข้องทีเดียว ... ลองยกเอาเรื่องเครื่องจักรกัดกรดเป็นตัวอย่างก็ได้ เครื่องจักรกัดกรดกึ่งอัตโนมัติสำหรับทำงานระดับ 5 ไมครอน เป็นสิ่งที่จีนพัฒนาขึ้นเป็นรายแรกเมื่อปี 1978 และเวลานี้จีนยังล้าหลังสหรัฐฯและญี่ปุ่นอยู่เพียง 5 ถึง 7 ปี”
เฉินสรุปว่า “การผลิตชิประดับล้ำหน้าเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง และต้องนำเอาเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในหลายๆ แขนงมาผสมผสานกัน เราไม่ควรที่จะคาดหมายว่าเทคโนโลยีอย่างเป็นอิสระของจีนจะสามารถทะลุทะลวงผ่าทางตันในกระบวนการผลิตระดับล้ำหน้าที่สุดได้ระยะเวลาอันสั้น มันอาจจะต้องใช้เวลายาวนาถึง 10 ปี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเทคโนโลยีการออกแบบชิปและการผลิตชิปได้อย่างเป็นอิสระซึ่งประยุกต์ใช้กันอยู่ในตลาดในขนาดขอบเขตที่ใหญ่โตกว้างขวาง ถ้าบริษัทจำนวนมากเข้ามาร่วมมือกัน ภายในกรอบของวงห่วงแบบปิด (closed loop) แห่งการออกแบบ, การผลิต, การประยุกต์ใช้, และผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งเป็นอิสระอย่างเต็มที่แล้ว แม้กระทั่งว่ามันไม่ใช่อยู่ในระดับล้ำหน้าที่สุด มันก็จะมีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง และสามารถทำให้การรุกทางด้านชิปของสหรัฐฯประสบกับความล้มเหลว”