เอเจนซีส์ - “ออราเคิล” เอาชนะ “ไมโครซอฟท์” ในศึกแย่งชิงกิจการภายในสหรัฐฯ ของ “ติ๊กต็อก” แอปวิดีโอสั้นยอดนิยม ด้วยการเสนอดีลที่มีโครงสร้างแบบเป็นหุ้นส่วนกับ “ไบต์แดนซ์” บริษัทแม่สัญชาติจีนของติ๊กต็อก แทนที่จะเป็นการซื้อขายกันโดยตรง โดยคาดหวังกันว่าทางเลือกนี้จะช่วยให้รอดพ้นมาตรการแบนของ “ทรัมป์” อีกทั้งถูกใจปักกิ่ง อย่างไรก็ตาม สื่อของจีนออกมายืนยันในวันจันทร์ (14 ก.ย.) ว่า ไบต์แดนซ์จะไม่ขายติ๊กต็อกให้ ไม่ว่าจะเป็นออราเคิลหรือไมโครซอฟท์ก็ตามที
สื่อทรงอิทธิพลของสหรัฐฯ อย่างหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล และนิวยอร์ก ไทมส์ เป็นเจ้าแรกๆ รายงานข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (13) โดยอ้างแหล่งข่าววงในว่าออราเคิลเป็นผู้ชนะในศึกชิงติ๊กต็อก เวลาต่อมาสำนักข่าวรอยเตอร์ก็ยืนยันข่าวนี้ในวันจันทร์โดยอ้างแหล่งข่าวซึ่งทราบเรื่องดี
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันเรื่องนี้จากออราเคิล หรือไบต์แดนซ์ นอกจากนั้น ถ้าหากบริษัททั้งสองตกลงทำดีลกันได้จริงๆ ก็ยังต้องได้รับความเห็นชอบจากทางการสหรัฐฯคือคณะกรรมาธิการการลงทุนของต่างชาติในอเมริกา และทำเนียบขาว ตลอดจนจากทางการจีน
ติ๊กต็อกกลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการทูตระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารขีดเส้นตายให้บริษัททั้งหลายของสหรัฐฯ ยุติการทำธุรกิจกับไบต์แดนซ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับขายกิจการในอเมริกาของติ๊กต็อกให้บริษัทอเมริกันภายในวันที่ 20 กันยายน โดยอ้างว่า ติ๊กต็อกอาจเป็นเครื่องมือของจีนในการติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลผู้ใช้เพื่อแบล็กเมล์และสอดแนมธุรกิจ
อย่างไรก็ดี ปลายเดือนสิงหาคม กระทรวงพาณิชย์จีนออกกฎใหม่เพิ่มรายชื่อเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ด้านพลเรือนในรายชื่อสินค้าที่จำกัดการส่งออก ทำให้ไบต์แดนขายธุรกิจติ๊กต็อกให้บริษัทอเมริกันได้ยากขึ้น และไบต์แดนซ์ประกาศในเวลาต่อมาว่า จะปฏิบัติตามกฎใหม่นี้อย่างเคร่งครัด
เวลาเดียวกัน ติ๊กต็อกยังยื่นฟ้องศาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่า คำสั่งของทรัมป์เป็นการใช้กฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศในทางมิชอบ เนื่องจากแพลตฟอร์มของบริษัทไม่ถือเป็นภัยคุกคามที่ไม่ปกติต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ติ๊กต็อก กำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว โดยที่มีการดาวน์โหลด 175 ล้านครั้งในอเมริกา และมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายพันล้านคน ขณะบริษัทปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่เคยแบ่งปันส่งข้อมูลให้ปักกิ่ง
ในวันอาทิตย์ (13) ไมโครซอฟท์ที่เสนอตัวตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมขอซื้อธุรกิจของติ๊กต็อกในอเมริกา ออกคำแถลงระบุว่า ข้อเสนอของฝ่ายตนได้รับการปฏิเสธจากไบต์แดนซ์
ส่วนวอลมาร์ทซึ่งเป็นพันธมิตรกับไมโครซอฟท์ในการเสนอซื้อติ๊กต็อก แถลงในวันเดียวกันว่า ยังสนใจลงทุนในแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชื่อดังแห่งนี้ และจะเดินหน้าเจรจากับไบต์แดนซ์และฝ่ายอื่นๆ ที่สนใจติ๊กต็อกเช่นกันต่อไป
ขณะที่ในวันจันทร์ (14) สื่อสองแห่งของรัฐบาลจีน ได้แก่ ซีจีทีเอ็น และไชน่า นิวส์ เซอร์วิส รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวหลายรายว่า ไบต์แดนซ์จะไม่ขายกิจการในอเมริกาของติ๊กต็อก ไม่ว่าจะให้แก่ออราเคิลหรือไมโครซอฟท์ รวมทั้งจะไม่ให้ซอร์ซโคดของแพลตฟอร์มนี้แก่บริษัทสหรัฐฯแห่งใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับรายงานข่าวของสื่อสหรัฐฯ และสำนักข่าวรอยเตอร์นั้น ระบุว่า ข้อเสนอของออราเคิลที่ยื่นให้ไบต์แดนซ์และมีการตกลงกัน ไม่ใช่การซื้อขายโดยตรง แต่ออราเคิลซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ทางด้านธุรกิจชั้นนำของอเมริกา จะเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและจัดการข้อมูลผู้ใช้ในอเมริกาของติ๊กต็อก รวมทั้งยังกำลังเจรจาขอซื้อหุ้นบางส่วนในติ๊กต็อก
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ผู้สนับสนุนสำคัญบางรายของไบต์แดนซ์ เช่น บริษัทการลงทุน เจเนอรัล แอตแลนติก และซีคัวยา จะได้ถือหุ้นส่วนน้อยในกิจการในอเมริกาของติ๊กต็อก
เวลานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าทรัมป์จะอนุมัติข้อตกลงนี้หรือไม่ โดยที่ แลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการของออราเคิล เป็นหนึ่งในเพียงไม่กี่รายในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอเมริกันซึ่งประกาศตัวเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผย โดยในเดือนกุมภาพันธ์ เอลลิสันยังได้จัดงานเพื่อระดมหาทุนบริจาคให้แก่การรณรงค์หาเสียงของทรัมป์อีกด้วย
ออราเคิล ถึงมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการจัดการและปกป้องข้อมูล แต่ไม่มีประสบการณ์ด้านโซเชียลมีเดีย และลูกค้าเป็นบริษัทภาคธุรกิจมากกว่าผู้บริโภค
ปัจจุบัน ข้อมูลผู้ใช้ของติ๊กต็อกจัดเก็บอยู่ในระบบคลาวด์ของอัลฟาเบต บริษัทแม่ของกูเกิล
ทางด้าน เจฟฟรีย์ ทาวสัน ศาสตราจารย์ด้านการลงทุนของกวางหวา สกูล ออฟ แมเนจเมนต์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในประเทศจีน มองว่า การเป็นเจ้าของกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาจะช่วยให้ออราเคิลสามารถเข้าถึง --แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีหลักของไบต์แดนซ์ ซึ่งนี่ก็อยู่ในรูปแบบธุรกิจของบริษัทตะวันตกหลายแห่งที่ดำเนินการในจีน
ทาวสันยังชี้ว่า ข่าวคราวล่าสุดถือเป็นข่าวร้ายสำหรับวอลมาร์ท เพราะหากสามารถนำเอาความบันเทิงและการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ของติ๊กต็อก มารวมกับแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซของตนเอง วอลมาร์ทจะสามารถตามทันคู่แข่งสำคัญอย่างแอมะซอนได้
สำหรับความคิดเห็นชาวอเมริกันทั่วประเทศที่รอยเตอร์/อิปซอสส์จัดทำขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วพบว่า 40% สนับสนุนคำขู่แบนติ๊กต็อกของทรัมป์ ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันของทรัมป์ถึง 69% เห็นชอบกับคำสั่งนี้ ทว่ามีเพียง 32% ที่บอกว่าคุ้นเคยกับติ๊กต็อก