เอเจนซีส์ - ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกนับถึงวันพุธ (5 ส.ค.) ทะลุ 700,000 คน และเวลานี้เฉลี่ยทุก 15 วินาทีจะมีคนตายจากโรคนี้ 1 คน ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังระบุว่า คนวัยหนุ่มสาวติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ทางด้าน “ทรัมป์” อ้างควบคุมการระบาดในอเมริกาได้แล้ว
ข้อมูลที่หลายสำนักรวบรวมกันไว้ ออกมาตรงกันว่า ในวันพุธ (5) ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดโควิด-19 ในทั่วโลกขณะนี้ทะลุหลัก 700,000 คนแล้ว จากผู้ติดเชื้อทั้งหมดมากกว่า 18.5 ล้านคน
ตามการคำนวณของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่อิงกับข้อมูลในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังพบว่า ทุก 24 ชั่วโมง มีคนเสียชีวิตจากโรคอุบัติใหม่นี้เกือบ 5,900 คน หรือเท่ากับชั่วโมงละ 247 คน หรือ 1 คนในทุก 15 วินาที
ขณะที่ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า กลุ่มประชากรที่อายุระหว่าง 15-24 ปี ขณะนี้มีอัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว นั่นคือจากที่เคยมีอัตราส่วนเพียงแค่ 4.5% ของผู้ป่วยทั้งหมด เวลานี้ได้กลายเป็น 15% แล้ว ทั้งนี้ภายในช่วงเวลา 5 เดือนโดยประมาณ
นอกจากอเมริกาที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลกแล้ว หลายชาติในยุโรป เช่น สเปน เยอรมนี และฝรั่งเศส รวมถึงหลายประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ต่างระบุว่า เคสใหม่จำนวนมากเป็นคนวัยหนุ่มสาว
เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการ WHO ย้ำว่า คนหนุ่มสาวไม่ได้มีภูมิคุ้มกันที่สามารถเอาชนะไวรัสโคโรนาได้เหมือนที่หลายๆ คนคิดกัน แต่สามารถติดเชื้อ แพร่เชื้อ และตายได้เช่นเดียวกับกลุ่มวัยอื่นๆ
ถึงแม้อเมริกาขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดในโลก โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 155,000 คน และติดเชื้อ 4.8 ล้านคน ภายใต้มาตรการรับมือที่กระท่อนกระแท่นไม่มีเอกภาพ แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยืนยันเมื่อวันอังคาร (4) ว่า การระบาดอยู่ภายในการควบคุมเท่าที่สามารถทำได้แล้ว พร้อมกันนั้นเขายังคงเดินหน้าเรียกร้องกดดันให้เปิดโรงเรียน
นอกจากนั้น แม้มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละกว่า 1,000 คน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทว่า ทรัมป์กลับเลือกเปรียบเทียบสัดส่วนผู้เสียชีวิตกับจำนวนผู้ติดเชื้อ แทนที่จะเทียบกับจำนวนประชากร ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ของอเมริกาเลวร้ายกว่าชาติตะวันตกอื่นๆ ผู้นำสหรัฐฯ ยังยืนยันด้วยว่าการเพิ่มการทดสอบหาผู้ติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในอเมริกาพุ่งสูงขึ้น
ปัจจุบันอเมริกายังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายสิบรัฐต้องพักหรือยกเลิกแผนปลดล็อก และ นายแพทย์สตีเฟน ฮาห์น ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร ว่า สถานการณ์การระบาดยังไม่สามารถควบคุมได้ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนรับมือกับข้อเท็จจริงนี้อย่างจริงจัง
สำหรับที่บราซิล ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แถลงว่า ไม่คิดว่าสถานการณ์การระบาดรุนแรงและคัดค้านมาตรการล็อกดาวน์ แม้ตนเองและสมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคนกำลังติดเชื้อหรือเคยติดเชื้อมาแล้วก็ตาม
ในเอเชีย-แปซิฟิก แม้แต่ในพื้นที่ที่ดูเหมือนควบคุมการระบาดได้แล้ว แต่ตอนนี้ประเทศและดินแดนเหล่านั้นกำลังเผชิญการระบาดครั้งใหม่ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อทุบสถิติรายวัน ในจำนวนนี้รวมถึงออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง
วันพุธ ออสเตรเลียพบผู้เสียชีวิตสูงสุดทำสถิติ 15 คน และเมลเบิร์น เมืองเอกของรัฐวิกตอเรีย รวมทั้งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแดนจิงโจ้ ได้พบผู้ติดเชื้อใหม่ 725 คน แม้มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่มาเกือบเดือน รวมทั้งเริ่มใช้คำสั่งเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้ายยามวิกาลตั้งแต่วันพุธ (5) ตลอดจนปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นและบังคับประชาชนสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้านก็ตาม
แดเนียล แอนดรูส์ นายกรัฐมนตรีของรัฐวิกตอเรีย เผยว่า ผู้เสียชีวิตในวันพุธส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับบ้านพักคนชราหลายแห่ง และทางรัฐจะเพิ่มมาตรการจำกัดความเคลื่อนไหวของผู้คน ซึ่งรวมไปถึงการปิดศูนย์รับดูแลเด็กส่วนใหญ่ นอกจากนั้นยังจะขยายการห้ามการผ่าตัดกรณีที่รอได้ ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วรัฐ เพื่อให้มีทรัพยากรทางการแพทย์เพียงพอรับมือผู้ป่วยโควิด-19
ล่าสุด ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 19,000 คน และเสียชีวิต 247 คน
ที่ฮ่องกงมีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ 85 คนในวันพุธ ในจำนวนนี้ 3 คนติดเชื้อในท้องถิ่น ขณะที่ทางการกำลังพยายามควบคุมการระบาดระลอกที่สามที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นับจากเดือนมกราคม ฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อราว 3,700 คน และเสียชีวิต 43 คน
