รอยเตอร์ - รัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลียประกาศปิดพรมแดนที่เชื่อมต่อกับรัฐนิวเซาท์เวลส์ เพื่อป้องกันโควิด-19 ระบาดหนักซ้ำสอง ขณะที่ธุรกิจห้างร้านส่วนใหญ่ในนครเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศจะถูกสั่งปิดหลังเที่ยงคืนวันนี้ (5 ส.ค.) เป็นต้นไป
เคสผู้ป่วยใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นในเมลเบิร์นทำให้ทางการรัฐวิกตอเรียสั่งห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานยามค่ำคืน (เคอร์ฟิว), จำกัดการเคลื่อนย้ายของประชากร และให้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ปิดดำเนินการชั่วคราวตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันนี้ (5) ซึ่งคาดว่าจะกระทบแรงงานกว่า 250,000 คน
หลายรัฐในออสเตรเลียต่างมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดเพื่อสกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อาจลามมาจากรัฐวิกตอเรีย ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจแดนจิงโจ้ที่เข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ
ออสเตรเลียถือว่ายังรับมือโควิด-19 ได้ดีกว่าอีกหลายประเทศ โดยมีผู้ติดเชื้อสะสมเพียง 18,729 ราย และเสียชีวิต 232 ราย จากจำนวนประชากรทั้งหมด 25 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม รัฐวิกตอเรียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเกือบ 1 ใน 4 ของจีดีพีทั้งประเทศ และมีผู้ป่วยโควิดสะสมเกือบ 2 ใน 3 ของออสเตรเลีย คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 700 รายในวันนี้ (5) ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่น
อันนาสตาเซีย พาลาสซัค นายกรัฐมนตรีแห่งรัฐควีนส์แลนด์ ระบุวันนี้ (5) ว่า ผู้ที่เดินทางมาจากนิวเซาท์เวลส์และกรุงแคนเบอร์ราจะถูกห้ามเข้ามายังรัฐควีนส์แลนด์ตั้งแต่วันเสาร์ (8) เป็นต้นไป เช่นเดียวกับคนจากรัฐวิกตอเรียซึ่งถูกห้ามเข้าพื้นที่มาแล้วก่อนหน้านี้
“เราได้เห็นแล้วว่าสถานการณ์ในรัฐวิกตอเรียยังไม่ดีขึ้น และเราจะไม่รอจนกระทั่งนิวเซาท์เวลส์ย่ำแย่ไปกว่านี้ เราจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง” พาลาสซัค แถลงต่อสื่อที่เมืองบริสเบน
รัฐควีนส์แลนด์ไม่พบการติดเชื้อภายในท้องถิ่นมานานถึง 2 เดือนเต็ม จนกระทั่งพบผู้ป่วย 2 รายที่เดินทางกลับจากเมลเบิร์นเมื่อเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ก็เริ่มพบเคสใหม่ซึ่งจากการแพร่เชื้อภายในชุมชนอีกอย่างน้อย 3 ราย
จากข้อมูลล่าสุดวันนี้ (5) รัฐควีนส์แลนด์พบผู้ติดเชื้อใหม่ 1 ราย และมีผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษารวม 11 ราย