รอยเตอร์ - จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในสหรัฐฯพุ่งเกิน 130,000 คน ในวันจันทร์ (6 ก.ค.) หลังพบเคสผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และหนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า 99% ของกรณีการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ “ไม่เป็นอันตรายอย่างสิ้นเชิง”
โดยรวมแล้วอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ อยู่ในแนวโน้มขาลง แม้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เตือนว่า จำนวนผู้เสียชีวิตเป็นไปในลักษณะตัวชี้วัดตาม นั่นก็คือ มันจะสะท้อนความเป็นจริง หลายสัปดาห์หรือบางทีอาจหลายเดือน หลังการเพิ่มขึ้นของเคสผู้ติดเชื้อ
ทั่วสหรัฐฯ เวลานี้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมขยับเข้าใกล้ 3 ล้านคน สูงที่สุดในโลกและมากกว่า บราซิล ชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดอันดับ 2 ของโลกเกือบเท่าตัว ขณะที่จากการวิเคราะห์ของรอยเตอร์พบว่าเคสผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 39 รัฐของอเมริกา
ข้อมูลของรอยเตอร์พบด้วยว่า มีอยู่ 16 รัฐ ที่ทุบสถิติพบผู้ติดเชื้อสูงสุดในวันเดียวในเดือนนี้ ในนั้นรวมถึงรัฐฟลอริดา ซึ่งมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 11,000 คนในวันเดียว ถือเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อวันเดียวมากกว่าชาติไหนๆ ของยุโรป เมื่อครั้งที่อยู่ในจุดพีคสุดของวิกฤต
แม้บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนประชาชน ว่า ไม่ควรรวมตัวกันเฉลิมฉลองวันชาติเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างโดยไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่า 99% ของเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ “ไม่เป็นอันตรายอย่างสิ้นเชิง”
สตีฟ อัดเลอร์ นายกเทศมนตรีเมืองออสติน รัฐเทกซัส จากพรรคเดโมแครต ในวันจันทร์ (6 ก.ค.) ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความเห็นของทรัมป์ จากรีพับลิกัน โดยบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า “สารที่ยุ่งเหยิงที่หลุดออกมาจากปากของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นถือว่าอันตรายอย่างมาก”
“หนึ่งในความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดของเราในตอนนี้ ก็คือ สารที่ออกมาจากวอชิงตัน ที่บ่งชี้ว่า การสวมหน้ากากไม่ได้ผล หรือบอกว่ามันไม่มีความจำเป็น หรือกระทั่งบอกว่าไวรัสจะหายไปเอง” เขาบอกกับซีเอ็นเอ็น
จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นและคนไข้ที่ล้นโรงพยาบาลต่างๆ ในเทกซัส กระตุ้นให้นายกเทศมนตรีบางเมือง และเหล่าผู้นำท้องถิ่นคนอื่นๆ กำลังพิจารณาบังคับใช้คำสั่งหยุดอยู่บ้านรอบใหม่ จากคำกล่าวอ้างของอัดเลอร์ “เมืองต่างๆ กำลังร่วมกันล็อบบี้ผู้ว่าการรัฐให้คืนอำนาจในการกำหนดมาตรการต่อต้านโคโรนาไวรัสระดับท้องถิ่น”
