รอยเตอร์ - เกือบ 40 รัฐทั่วอเมริกา พบเห็นเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการวิเคราะห์ของรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดี (2 ก.ค.) สัญญาณอันน่าหวาดหวั่นล่าสุดที่บ่งชี้ว่าโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเคยเบาบางลงไปแล้วกำลังหวนกลับมาแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในแผ่นดินสหรัฐฯ
ฟลอริดา เป็นหนึ่งในรัฐที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดจากการแพร่ระบาดระลอกเดือนมิถุนายน โดยรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 10,000 คนในวันพฤหัสบดี (2 ก.ค.) สูงสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ส่วนแคลิฟอร์เนีย อีกหนึ่งศูนย์กลางของโรคระบาดใหญ่ พบเห็นผู้มีผลตรวจออกมาเป็นบวกเพิ่มขึ้นถึง 37% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และในนั้น 56% ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
จากการวิเคราะห์ของรอยเตอร์พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นใน 37 จาก 50 รัฐของสหรัฐฯ ในรอบ 14 วันที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
ขณะเดียวกัน เวลานี้สหรัฐฯ รายงานผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 มากกว่า 128,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของยอดผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลก
ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นระลอกใหม่ทำให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ทั้งระงับและชะลอแผนกลับมาเปิดเศรษฐกิจของแต่ละรัฐ หลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์อันเข้มงวดมาหลายเดือน ในนั้นรวมถึงการปิดชายหาดและยกเลิกการแสดงพลุไฟ เนื่องในวันชาติสหรัฐฯในช่วงสุดสัปดาห์
“เรายังไม่ออกจากวิกฤตนี้ เรายังคงอยู่ในระลอกแรกของวิกฤต มันจำเป็นต้องมีระดับความรับผิดชอบส่วนบุคคลบางอย่าง” กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวระหว่างแถลงสรุปสถานการณ์โรคระบาดใหญ่ประจำวัน
ในเทกซัส อีกรัฐที่พบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากังวล ทางผู้ว่าการรัฐ เกรก แอ็บบอตต์ ในวันพฤหัสบดี (2 ก.ค.) ออกคำสั่งทั่วรัฐให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากตอนอยู่ในที่สาธารณะ โดยมีผลบังคับใช้กับเคาน์ตีต่างๆ ที่มีเคสผู้ติดเชื้อมากกว่า 20 คนขึ้นไป
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน แคนซัสเป็นอีกหนึ่งรัฐในจำนวนหลายรัฐที่บังคับสวมหน้ากาก หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 46.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว
การชัตดาวน์ธุรกิจต่างๆ อย่างกว้างขวางก่อนหน้านี้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจของอเมริกาย่อยยับ และผลักประชาชนชาวสหรัฐฯ หลายล้านคนต้องตกงาน ดังนั้น ในคราวนี้บรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆ จึงลังเลที่จะใช้มาตรการที่เข้มงวดอีกครั้ง แม้มันอาจช่วยเหนี่ยวรั้งการแพร่ระบาดระลอกใหม่
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานในวันพฤหัสบดี (2 ก.ค.) ระบุว่า การกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานอย่างฉับพลัน โดยเศรษฐกิจอเมริกามีการจ้างงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมิถุนายน และยอดคนว่างงานลดลงสู่ระดับ 11.1%
“ถ้อยแถลงในวันนี้ พิสูจน์แล้วว่าเศรษฐกิจของเรากำลังกลับมาพร้อมกับเสียงคำราม” ทรัมป์กล่าว อ้างถึงรายงานประจำเดือนมิถุนายนของกระทรวงแรงงาน ซึ่งพบเห็นมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในหลายภาคส่วน “นี่คือตัวเลขประวัติศาสตร์”
อย่างไรก็ตาม จากชุดข้อมูลโดยละเอียดล่าสุดที่รวมรวบโดยบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นักเศรษฐศาสตร์และบริษัทเอกชน บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาหยุดนิ่งอีกครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งครั้งใหม่สกัดการแพร่ระบาด
ด้วยเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งคือแก่นกลางคำอวดอ้างหาเสียงหลักของทรัมป์ ในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี จึงเป็นไปตามความคาดหมายที่ โจ ไบเดน คู่แข่งของเขาจากพรรคเดโมแครต จะประณามคำคุยโวดังกล่าวของทรัมป์
“ออกมาอ้างชัยชนะ ทั้งที่ชาวอเมริกาเกือบ 15 ล้านคนยังคงตกงานจากวิกฤต เพิกเฉยต่อความเป็นจริงของโรคระบาดใหญ่ และชีวิตอเมริกันชนที่ต้องสูญเสียไปอย่างน่าสยดสยอง” ไบเดนกล่าว “ลงมือทำ เป็นผู้นำ หรือไม่งั้นก็หลีกทางให้คนอื่นที่สามารถทำได้ ท่านประธานาธิบดี”
เมื่อถูกถามว่าทำเนียบขาวรู้สึกเสียใจหรือไม่ที่ยุยงให้รัฐต่างๆ กลับมาเปิดเศรษฐกิจโดยเร็ว ทาง สตีฟ มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ตอบว่า “ไม่เลย มีหนทางที่ปลอดภัยสำหรับกลับมาเปิดเศรษฐกิจ และเรากำลังทำอย่างระมัดระวัง”