เอเอฟพี - ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ระดับสูงของสหรัฐฯ เตือนสภาคองเกรสในวันอังคาร (30 มิ.ย.) ว่าเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) อาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเป็น 100,000 คนต่อวัน หากเจ้าหน้าที่และประชาชนไม่ยอมใช้มาตรการต่างๆ ในการสกัดการแพร่ระบาด
นพ.แอนโธนี เฟาซี หมอใหญ่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด และเป็นสมาชิกคนสำคัญในคณะทำงานเฉพาะกิจสู้โควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าไป “ผิดทาง” ในเรื่องโรคระบาดใหญ่ และเรียกร้องให้อเมริกันชนหันมาสวมหน้ากาก หลีกเลี่ยงการรวมตัวของคนหมู่มาก หลังพฤติกรรมที่หย่อนยานโหมกระพือการแพร่ระบาดรอบใหม่
“ผมกังวลมาก และผมไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะว่าเรากำลังไปผิดทาง” เขาให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภา พร้อมเน้นว่าเขามีความวิตกอย่างนิ่งต่อเคสผู้ติดเชื้อใหม่ที่พุ่งขึ้นใน 2 จุดร้อนทางภาคใต้ ได้แก่เทกซัส และฟลอริดา ซึ่งผลักให้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศแตะระดับเกินกว่า 40,000 คนต่อวัน และทั้ง 2 รัฐจำเป็นต้องหยุดการแพร่ระบาดโดยเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดระลอกคลื่นการแพร่ระบาดที่เป็นอันตรายในที่อื่นๆ ของประเทศ
“ชัดเจนว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยสิ้นเชิง ผมจะไม่แปลกใจเลยหากว่ามันพุ่งแตะระดับ 100,000 คนต่อวัน หากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนไปจากนี้” เขากล่าว
เสียงเตือนอันน่ากลัวนี้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของสหรัฐฯ ในการควบคุมโรคระบาดใหญ่ซึ่งคร่าชีวิตอเมริกันชนไปแล้วราว 126,000 คน และติดเชื้อมากกว่า 2,600,000 คน สูงสุดอันดับ 1 ของโลกทั้ง 2 กรณี
นพ.เฟาซีเชื่อว่า บางรัฐของสหรัฐฯ มองข้ามจุดคัดกรองบางอย่างไป ซึ่งจุดคัดกรองเหล่านั้นสามารถรับประกันว่าภาคธรกิจต่างๆ และพื้นที่สาธารณะทั้งหลายกลับมาเปิดบริการได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้แล้ว เขายังส่งสารอย่างตรงไปตรงมาถึงคนหนุ่มสาวในประเทศซึ่งมีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย เช่น รวมตัวเฉลิมฉลองตามผับบาร์ ไม่สวมหน้ากากป้องกันโรคและไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเว้นระยะห่างทางสังคม “ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเน้นย้ำถึงความรับผิดชอบที่เรามี ทั้งในแบบส่วนตัวและในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในความพยายามหยุดโรคระบาดใหญ่ เราทุกคนล้วนมีบทบาทในเรื่องนี้” นพ.เฟาซีกล่าว
ด้านโรเบิร์ต เรดฟืลก์ หัวหน้าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อวิถีการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นในหลายขอบเขต ในนั้นรวมถึงจำนวนคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวเพิ่มมากขึ้นตามโรงพยาบาลต่างๆ ใน 12 รัฐ และบอกว่ามันสำคัญยิ่งที่ชาวอเมริกาทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสวมหน้ากากคลุมใบหน้า
แต่ทาง ลามาร์ อเล็กซานเดอร์ วุฒิสมาชิกจากรีพับลิกัน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้ ได้ชี้นิ้วกล่าวโทษทรัมป์ด้วยเช่นกัน โดยบอกว่าประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะหยุดทำให้เรื่องการสวมหน้ากากเป็นเรื่องของการเมือง “ถ้าคุณเห็นด้วยกับทรัมป์ คุณก็จะไม่สวมหน้ากาก ถ้าคุณเห็นต่างจากทรัมป์ คุณก็จะสวม”
“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงแนะนำให้ประธานาธิบดีสวมหน้ากากเป็นบางโอกาส มีคนชื่นชอบประธานาธิบดีมากมาย พวกเขาจะทำตามประธานาธิบดี และมันจะช่วยยุติประเด็นถกเถียงทางการเมืองในเรื่องนี้” เขากล่าว
ที่ผ่านมา ทรัมป์ปฏิเสธสวมหน้ากากในกิจกรรมสาธารณะมาตลอด แถมยังเย้ยหยันคู่แข่งของเขาที่สวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 อีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่าต้องการโยกย้ายความสนใจไปจากวิกฤตไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ แล้วไปมุ่งเน้นที่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในความหวังกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย