เอเจนซีส์ - อินเดียมาแรงแซงรัสเซียขึ้นเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อันดับ 3 ของโลก ขณะที่เจ้าหน้าที่ในอเมริกาเตือนระบบสาธารณสุขอาจรับมือไม่ไหวจากการที่เคสใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 40,000 คน ด้านออสเตรเลียสั่งปิดพรมแดนรัฐวิกตอเรียครั้งแรกในรอบ 100 ปี เพื่อสกัดการระบาด และฟิจิพบผู้ติดเชื้อคนแรกในรอบ 78 วัน
แม้บางพื้นที่ในยุโรปปรากฏสัญญาณแง่บวก โดยมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องต่อไปอีก เช่น พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในกรุงปารีส จะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์ (6 ก.ค.) แต่สถานการณ์โรคระบาดทั่วโลกยังคงทวีความรุนแรง โดยยอดติดเชื้อสะสมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 11.5 ล้านคนอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้เสียชีวิตกมีจำนวนกว่า 533,000 คน
สำหรับอินเดีย ได้ทำเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ จำนวนมากทั่วโลก นั่นคือ ค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อมุ่งฟื้นเศรษฐกิจ แต่การทำเช่นนี้กลับส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง เฉพาะช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ พบเคสใหม่ 24,000 คน ดังนั้นเมื่อนับรวมไปถึงวันจันทร์ จำนวนเคสในแดนภารตะเพิ่มเป็นเกือบ 700,000 คน กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดอันดับ 3 ของโลก แทนที่รัสเซียไปแล้ว
พวกเมืองใหญ่ของอินเดียที่รวมถึงนิวเดลีและมุมไบ มีการระบาดรุนแรงที่สุด พร้อมกันนั้น ยังมีผู้วิจารณ์ว่า รัฐบาลทดสอบหาผู้ติดเชื้อน้อยเกินไป ทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนมากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย
การระบาดอย่างรุนแรงทำให้ทางการต้องแปลงโรงแรม สถานที่จัดงานแต่งงาน ศูนย์ด้านความเชื่อและจิตวิญญาณ และโบกี้รถไฟ รองรับผู้ป่วยโควิด-19
ส่วนที่ออสเตรเลีย ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเมืองเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย ทำให้ทางการต้องสั่งปิดพรมแดนวิกตอเรียซึ่งติดต่อกับรัฐอื่นๆ เป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี
ทั้งนี้ เพียงชั่วข้ามคืนรัฐแห่งนี้พบผู้ติดเชื้อใหม่ 127 คน ซึ่งเป็นสถิติรายวันสูงสุดนับจากไวรัสระบาด และยังพบผู้เสียชีวิต 2 คน หลังจากที่ออสเตรเลียไม่มีผู้เสียชีวิตมากว่า 2 สัปดาห์
ที่ ฟิจิ ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก เมื่อวันจันทร์พบผู้ติดเชื้อคนแรกในรอบ 78 วัน
ทางด้านสหรัฐฯ ประเทศที่มีการระบาดรุนแรงที่สุด จนถึงเวลานี้ยังคงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมล่าสุดอยู่ที่เกือบ 130,000 คน จากผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน 2.8 ล้านคน
ในรัฐเทกซัส โรงพยาบาลบางแห่งไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม หลายเมืองเริ่มเรียกร้องมากขึ้นให้ฟื้นคำสั่งกักตัวอยู่บ้าน ขณะที่นายกเทศมนตรีบางคนยอมรับว่า เปิดเมืองเร็วเกินไป กระนั้น ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงพยายามยืนยันว่า โรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด
บรรยากาศวันหยุดสุดสัปดาห์ในเทศกาลวันชาติอเมริกัน ถูกบดบังไปด้วยหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นว่า มาตรการรับมือโรคระบาดที่ไร้เอกภาพและไร้ยุทธศาสตร์ของอเมริกา ทำให้เวลานี้พวกรัฐทางภาคใต้และภาคตะวันตกต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาแพงลิ่วจากการรีบเร่งรัดปลดล็อก
สตีฟ แอดเลอร์ นายกเทศมนตรีเมืองออสติน รัฐเทกซัส แสดงความกังวลว่า ระบบสาธารณสุขอาจรองรับไม่ไหวหากไวรัสยังคงระบาดอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ อเมริกาพบผู้ติดเชื้อใหม่ประมาณวันละ 40,000 คน และสถิติสูงสุดอยู่ที่ 57,000 คน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3)
สถานการณ์ในละตินอเมริกายังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม โดยชิลีมีผู้เสียชีวิตสะสมทะลุ 10,000 คนในวันอาทิตย์ และ 30,000 คนในเม็กซิโก
ที่แอฟริกา ทางการแอฟริกาใต้จัดส่งแพทย์ทหารหลายสิบคนไปที่จังหวัดอีสต์เคปเมื่อวันอาทิตย์เพื่อรับมือการระบาด
แอฟริกาใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่บังคับใช้มาตรการกักตัวอยู่บ้านเข้มงวดที่สุดในโลกเมื่อปลายเดือนมีนาคม แต่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งทะยานหลังจากค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการจำกัด
ในตะวันออกกลาง อิหร่านรายงานผู้เสียชีวิต 163 คน ในวันอาทิตย์ สูงสุดนับจากที่ไวรัสระบาด ขณะที่โมร็อกโกพบการระบาดในโรงงานปลากระป๋องและต้องสั่งล็อกดาวน์ประชาชนในพื้นที่ราว 300,000 คน