เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - คณะผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ ออกคำตัดสินประวัติศาสตร์ด้วยมติ 6-3 ในวันจันทร์ (15 มิ.ย.) ห้ามบริษัทหรือนายจ้างในสหรัฐฯ กีดกันลูกจ้างเนื่องมาจากเหตุผลจากการเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน ชี้ Title VII ของกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ปี 1964 ที่มีอยู่เดิมนั้นครอบคลุมการห้ามกีดกันทางเพศของบุคคล ที่ครอบคลุมไปถึงการคุ้มครองความชอบทางเพศและสถานะของกลุ่มข้ามเพศ ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของกลุ่มเพศที่ 3 ในสหรัฐฯ
NBC News รายงานเมื่อวานนี้ (15 มิ.ย.) ว่า การตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่อยู่ในยุคคอนเซอร์เวตีฟถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับกลุ่ม LGBTQ ในอเมริกา า “เป็นการตัดสินที่ทรงพลัง” และกล่าวต่อว่า “เราจะอยู่กับมัน”
พร้อมเสริมว่า “พวกเขาออกคำตัดสินและเราจะยอมรับการตัดสินของพวกเขา นี่เป็นสิ่งทั้งหมดที่เป็น เราอยู่กับคำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐฯ”
ด้านประธานรัฐสภาสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต แนนซี เพโลซี ออกมาชื่นชมคำตัดสินเช่นกัน โดยกล่าวว่า “ถือเป็นรชัยชนะสำหรับชุมชนชาว LGBTQ และสำหรับประชาธิปไตยของพวกเรา และคุณค่าพื้นฐานของความเท่าเทียมและความยุติธรรมเพื่อคนทั้งหมด”
NBC News รายงานว่า คำพิพากษาที่ออกมาในวันจันทร์(15)ถือเป็นชัยชนะของ เจอรัลด์ บอสต็อก (Gerald Bostock) ที่ถูกให้ออกจากงานสำนักงานเคาน์ตีเมื่อ 7 ปีก่อนหลังเขาเข้าร่วมทีมเกย์ซอฟต์บอล และยังเป็นชัยชนะแก่ โดนัลด์ ซาร์ดา (Donald Zarda) ครูสอนนักดำน้ำที่ถูกให้ออกจากงานหลังเขาได้บอกกับคนที่มาดำน้ำกับเขาซึ่งเป็นสตรีว่า ไม่ต้องกลัวการที่จะรัดสายให้แน่นติดกับเขาเนื่องมาจาก ซาร์ดากล่าวว่า “เขาเป็นเกย์ 100%” แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าซาร์ดาเสียชีวิตก่อนที่คดีนี้จะถึงศาลสูงสุดสหรัฐฯ
และชัยชนะยังเป็นของ เอมี สตีเฟนส์ (Aimee Stephens) ชาวข้ามเพศที่ถูกให้ออกจากงานที่สำนักงานจัดพิธีศพมิชิแกน (Michican funeral home) หลังได้บอกกับบริษัทว่าเป็นพวกกลุ่มข้ามเพศ อย่างไรก็ตาม เจ้านายของสตีเฟนส์อธิบายว่า ถูกให้ออกจากงานเพราะสวมชุดไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของบริษัท สตีเฟนส์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 มิ.ย จากโรคไตก่อนที่จะทันได้รับฟังคำตัดสิน