เอเจนซีส์/เอพี/MGRออนไลน์ – เมื่อวานนี้(19 มิ.ย)ศาลสูงสุดสหรัฐฯพิพากษาคุ้มครองผู้อพยพเข้าเมืองตั้งแต่เด็กจำนวน 652,800 คนที่ในโครงการ DACA ของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา หลังผู้นำสหรัฐฯคนปัจจุบันต้องการที่จะยุติโครงการนี้โดยอ้างว่าผิดกฎหมาย สร้างความดีใจให้กับบรรดาหมอ-ทนายซึ่งเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายตั้งแต่เด็กยังสามารถทำงานในสหรัฐฯได้อย่างถูกกฎหมายและไม่ถูกเนรเทศ
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(18 มิ.ย)ว่า ศาลสูงสุดสหรัฐฯที่มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า SCOTUS ได้ปฎิเสธคำขอของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ยุติโครงการ Deferred Action for Childhood Arrivals Program ที่มีชื่อย่อคือ DACA สำหรับเหล่าดรีมเมอร์หรือเด็กผู้อพยพที่เข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา
เอพีชี้ว่ามติเกิดขึ้นด้วยเสียง 5-4 โดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ตส์ (John Roberts) และผู้พิพากษาสายลิเบอรัลอีก 4 คนเป็นเสียงข้างมากสร้างความผิดหวังให้กับผู้นำสหรัฐฯเป็นอย่างมาก
ซึ่งทางคณะผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯกล่าวว่า ทางรัฐบาลสหรัฐฯไม่ได้ทำการยุติโครงการ DACA อย่างเหมาะสม และปฎิเสธข้ออ้างฝ่ายรัฐบาลทรัมป์ที่ระบุว่า โครงการนี้ผิดกฎหมายและไม่ชอบตามกฎหมายและทำให้ศาลไม่มีบทบาทเข้ามาแทรกแซงในการพิจารณาการตัดสินใจในการสิ้นสุดโครงการ
NPR สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ในคพิพากษาโรเบิร์ตส์ระบุว่า “เราไม่ได้ตัดสินว่า DACA หรือการยุติโครงการนี้สมเหตุสมผลในเชิงนโยบาย” และเสริมต่อว่า “ซึ่งความชาญฉลาดของการตัดสินใจเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเรา แต่พวกเราพิจารณาเพียงแค่ว่าทางรัฐบาลปฎิบัติตามกระบวนการที่กำหนดในกฎหมายที่สอดคล้องกับคำอธิบายที่มีเหตุผลของการปฎิบัติ”
ทั้งนี้พบว่าในปี 2017 อดีตรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ เจฟ เซสชันส์ ได้ตัดสินใจยุบโครงการ DACA เพียงแค่ชี้ว่ามันผิดกฎหมายและไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ขณะที่โอบามาที่เป็นผู้ออกนโยบายนี้กล่าวยืนยันว่า เด็กเหล่านี้ถูกนำเข้าสหรัฐฯโดยผู้เป็นพ่อและแม่เด็กไม่ได้ผิดอะไร พวกเขาเติบโตในสหรัฐฯพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษหลักและมีบางคนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าประเทศที่จากมามีหน้าตาอย่างไร
แต่อย่างที่ประธานคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯได้ชี้ในข้อสังเกตว่า เซสชันส์ไม่ได้กล่าวในรายละเอียดของเหตุผลที่สมเหตุสมผลสำหรับการยกเลิกโครงการนี้
เดอะการ์เดียนรายงานว่า คำตัดสินวันพฤหัสบดี(18)จะเป็นช่องทางอีกครั้งให้ผู้นำสหรัฐฯพยายามหาทางยกเลิก DACA ที่เขาหาเสียงมาตั้งแต่สมัยการเลือกตั้งปี 2016 แต่อาจเป็นการยากที่จะเคลื่อนไหวให้เสร็จสิ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในพฤศจิกายนนี้
ทรัมป์ได้ทวีตตอบโต้คำตัดสินที่ออกมาว่า
“คำตัดสินที่เลวร้ายและมีการเมืองเกี่ยวข้องนั้นเกิดขึ้นมาจากการทำปืนลั่นที่มาจากศาลสูงสุดสหรัฐฯยิงใส่หน้ากลุ่มคนที่มีความภาคภูมิใจที่เรียกตัวเองว่า รีพับลิกัน หรือ คอนเซอร์เวตีฟ เราจำเป็นต้องมีผู้พิพากษามากกว่านี้หรือเราจะต้องแพ้เป็นครั้งที่ 2 แก้ไขกฎหมายและทุกอย่าง เลือกทรัมป์2020”
ด้านผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ แคลเรนซ์ โทมัส (Clarence Thomas) ซึ่งเป็น 1 ในเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินกล่าวว่า คำพิพากษาที่ออกมาเป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราวที่มีแรงจูงใจทางการเมืองเกี่ยวข้อง “เป็นการเปิดไฟเขียวให้กับการปะทะทางการเมืองในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในศาลแห่งนี้มากกว่าในที่ที่ควรอยู่คือ สถาบันทางการเมืองต่างๆ”
ด้าน ซีซาร์ วาร์กัส (Cesar Vargas) ทนายความคนแรกซึ่งเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายที่เข้าเมืองแต่เด็กประจำรัฐนิวยอร์กออกมาแสดงความเห็นถึงชัยชนะครั้งสำคัญว่า “ต่อแต่นี้ไปบรรดาดรีมเมอร์สามารถหายใจได้โล่งอก” และเสริมว่า “พวกเรารู้มาตลอดว่า มันใกล้เข้ามาและเราถูกพิสูจน์ว่าถูกต้องด้วยเสียง 5-4 ” และเสริมต่อว่า “แต่นี้ไปรัฐบาลทรัมป์ต้องทำตามกระบวนการเพื่อทำให้แน่ใจว่าชีวิตคนจะไม่ถูกทำให้ติดขัด”
ทั้งนี้โครงการ DACA ที่อนุญาตให้เด็กผู้อพยพที่เติบโตในสหรัฐฯสามารถสำเร็จการศึกษาในประเทศได้ มารินา ดี บาร์โทโล( Marina Di Bartolo) ประจำมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งแพทย์หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในดรีมเมอร์ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อแอตแลนติกในปี 2017 หรือ ปีแรกของการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ โดยเธอกล่าวว่า หากเธอไม่ได้รับการคุ้มครองสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯเธอจะไม่สามารถทำงานในฐานะแพทย์ได้ขณะที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากต้องการหมอ และในวันที่โครงการ DACA ถูกยกเลิกเธอต้องถอดชุดกาวน์สีขาวออก และได้เปิดเผยว่าพ่อและแม่เดินทางมาจากเวเนซุเอลาซึ่งมีสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ย่ำแย่
ส่วน โฮเซ การ์เซีย (Jose Garcia) วัย 24 ปี ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย UCDAVIS ชื่อดังจากคณะรัฐศาสตร์และเป็นหนึ่งในดรีมเมอร์กล่าวแสดงความเห็นกับฟ็อกซ์นิวส์ว่า เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่โครงการได้รับการคุ้มครองจากศาลสูงสุดสหรัฐฯ และได้โทรศัพท์หาแม่เป็นคนแรกเพื่อบอกข่าวดี
ทั้งนี้พบว่าการ์เซียเกิดในเม็กซิโกและเดินทางเข้าสหรัฐฯเมื่อมีอายุได้แค่ 5 ปี และเขามีพี่สาว 2 คนที่มีสัญชาติสหรัฐฯ และในเวลานี้ทำงานให้กับมูลนิธิชุมชนลาตินอเมริกัน (Latino Community Foundation) อยู่ในส่วนของทีมสื่อสาร
อ้างอิงจากเอพีพบว่าในจำนวน 652,800 คนในโครงการ DACA มีผู้อพยพมาจากเม็กซิโกมากที่สุดที่ 517,460 คน อันดับ 2 คือ เอลซัลวาดอร์ที่ 24,830 คน และจากชาร์ตของเอพีพบว่ามีผู้อพยพจากเอเชียได้รับการคุ้มครองเช่นกันได้แก่ เกาหลีใต้ 6,210 คน ฟิลิปปินส์ 3,270 คน อินเดีย 2,220 คน ปากีสถาน 1,150 คน และจีน 600 คน
และเป็นที่น่าแปลกใจว่ามีชาวแคนาดาถึง 640 คนที่อยู่ภายใต้โครงการ DACA ซึ่งเป็นประเทศชาติอุตสาหกรรมตะวันตกเพียงชาติเดียวที่ปรากฎอยู่ในตาราง