xs
xsm
sm
md
lg

ภูมิคุ้มกันหมู่สู้โควิด-19 ของสวีเดนห่างไกลความสำเร็จ พบประชากรเมืองหลวงมีแอนติบอดีแค่ 7.3%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สเตฟาน ลอฟเวน นายกรัฐมนตรีสวีเดน
รอยเตอร์ - ผลการศึกษาหาภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนาสายพันธู์ใหม่ในหมู่ประชากรในกรุงสตอกโฮล์ม จนถึงปลายเดือนเมษายน พบว่า มีเพียง 7.3% ที่พัฒนาแอนติบอดี (antibody) ที่จำเป็นสำหรับต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โหมกระพือความกังวลว่าการตัดสินใจไม่ล็อกดาวน์สกัดการแพร่ระบาดของสวีเดน อาจก่อภูมิคุ้มกันหมู่แค่เล็กน้อยในอนาคตอันใกล้นี้

ยุทธศาสตร์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก อันเดรส เทกเนล หัวหน้าหน่วยงานระบาดวิทยาของสวีเดน ซึ่งแนะนำให้รัฐบาลใช้มาตรการต่างๆ ที่อยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจในการต่อสู้กับไวรัส แทนที่จะบังคับล็อกดาวน์เหมือนประเทศอื่นๆ แนวคิดที่สร้างความเห็นแตกแยกทั้งภายในและนอกประเทศ

กลยุทธ์ของสวีเดน คือ อนุญาตให้โรงเรียนเกือบทั้งหมด ร้านอาหาร, บาร์ และภาคธุรกิจต่างๆ เปิดปฏิบัติการตามปกติ ภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและสุขอนามัยที่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มาตรการเหล่านั้นล้วนอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ และจะมุ่งเน้นไปที่การปกป้องกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงสูงแทน ขณะที่ชาติส่วนใหญ่ในยุโรปบังคับประชาชนเก็บตัวอยู่แต่ในที่พักอาศัย

มาตรการนี้เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของสวีเดนสูงกว่าบรรดาประเทศเพื่อนบ้านในแถบนอร์ดิกเป็นอย่างมาก แต่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างสหราชอาณาจักร, อิตาลี และฝรั่งเศส ที่บังคับใช้มาตการล็อกดาวน์

จำนวนคนไข้โควิด-19 ในห้องไอซียูของสวีเดน ลดลงราว 1 ใน 3 จากระดับสูงสุดในช่วงปลายเดือนเมษายน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบอกว่า การแพร่ระบาดชะลอตัวลงแล้ว อย่างไรก็ตาม สวีเดน กลายเป็นชาติที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อจำนวนประชาชน สูงสุดในยุโรปในช่วง 7 วันที่ผ่านมา

หลักการภูมิคุ้มกันหมู่มีต้นกำเนิดจากอายุรศาสตร์สัตวแพทย์ และเบื้องต้นอ้างถึงแนวคิดที่มุ่งเน้นสุขภาพของประชากรสัตว์โดยรวม ไม่คำนึงถึงเป็นรายตัว โดยมันอยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่าเมื่อประชากรส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคติดต่อหนึ่งๆ แล้ว มันก็น่าจะแพร่ระบาดสู่คนอื่นๆ น้อยลง อย่างไรก็ตาม หากปราศจากวัคซีนแล้ว นั่นหมายความว่า ผู้คนส่วนใหญ่ต้องพัฒนาภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพื่อเอาชนะโรคระบาดใหญ่นี้ซึ่งดูแล้วอาจเป็นราคาที่ต้องชดใช้แสนแพง

งานวิจัยของหน่วยงานสาธารณสุขสวีเดน ระบุว่า จากการเก็บตัวอย่างประชากรที่ร่วมทดสอบราว 1,100 ราย ในแต่ละสัปดาห์เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ใน 9 เมืองของสวีเดน รวมถึงสตอกโฮล์มนั้นพบว่า ประชากรสวีเดนมีแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันโควิด-19 น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มที่มีแอนติดบอดีมากสุด คือ กลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุ 20-64 ปี ซึ่งคนที่มีแอนติบอดีคิดเป็น 6.7 เปอร์เซ็นต์ของประชากร และเมื่อเทียบกับกลุ่มช่วงอายุ 0-19 ปี มีเพียง 4.7 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรเท่านั้นที่มีแอนติบอดี

ทั้งนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า ในสตอกโฮล์มมีเพียง 7.3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มีผลแอนติบอดีของโควิด-19 ในร่างกาย ขณะที่เมืองสกัวเนอ อัตราประชากรที่มีแอนติบอดีมีเพียง 4.2 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม เทกเนล อ้างว่า ผลการค้นพบอยู่ในกรอบของโมเดลต่างๆ ที่ประมาณการว่า ประชากรของเมืองหลวงสวีเดนจะมีเชื้อไวรัสแล้วในตอนนี้ และอย่างน้อยก็น่าจะมีภูมิคุ้มกันหมู่ในวงจำกัดแล้ว “มันน้อยกว่าที่คาดหมายไว้เล็กน้อย แต่ไม่น้อยกว่ามาก บางทีอาจ 1 หรือ 2%” เทกเนลแถลงข่าวในกรุงสตอกโฮล์ม “มันค่อนข้างตรงกับโมเดลต่างๆ ที่เรามี”

เจ้าหน้าที่หน่วยงานสาธารณสุขของสวีเดน เน้นย้ำว่า ภูมิคุ้มกันหมู่ไม่ได้มีเป้าหมายพัฒนาแอนติบอดีเท่านั้น แต่ยุทธศาสตร์นี้ยังช่วยชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสเพื่อให้หน่วยงานสาธารณสุขมีเวลารับมือกับโรคระบาดใหญ่ ไม่ใช่การสกัดกั้นโดยสิ้นเชิง

พวกเขาบอกว่าประเทศต่างที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์โดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส อาจเผชิญกับคลื่นแห่งการระบาดระลอกใหม่ หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว ขณะที่ยุทธศาสตร์ภูมิคุ้มกันหมู่จะช่วยให้สวีเดนเจอระลอกสองของการแพร่ระบาดที่เบากว่า

องค์การอนามัยโลกเคยเตือนเกี่ยวกับการฝากความหวังไว้กับภูมิคุ้มกันหมู่ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพวกเขาบอกว่าผลการศึกษาทั่วโลกพบมีประชากรเพียงแค่ราวๆ 1-10% เท่านั้นที่มีแอนติบอดี ผลการศึกษาที่ออกมาตามกรอบการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ ในสเปนและฝรั่งเศส

ขณะที่ บียอร์น โอลเซน ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อแห่งมหาวิทยาลัยอุปซอลา ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดานักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์แนวทางตอบสนองของสวีเดน ตราหน้าแนวคิดใช้ภูมิคุ้มกันหมู่รับมือกับโควิด-19 ว่า อันตรายและไม่ดูสภาพความเป็นจริง “ผมคิดว่าภูมิคุ้มกันหมู่คือหนทางที่ยาวไกล และเราอาจไปไม่ถึงจุดนั้นเลย”


กำลังโหลดความคิดเห็น