บลูมเบิร์ก - สวีเดนเพิ่งผ่านหลักชัยอันน่าเศร้า หลังยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย ทะลุ 1,000 ศพ โหมกระพือข้อถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางปล่อยให้ใช้ชีวิตตามปกติท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
สถานการณ์ล่าสุดก่อข้อถกเถียงเกี่ยวกับการตัดสินใจของสวีเดน ที่เพิกเฉยต่อมาตรการล็อกดาวน์เหมือนกับหลายประเทศทั่วโลกบังคับใช้ และยังคงปล่อยให้โรงเรียน, บาร์, คาเฟ่ และร้านอาหารต่างๆ เปิดตามปกติ
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขล่าสุด ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี สเตฟาน ลอฟเวน ยอมรับว่า บางทีอาจจำเป็นต้องบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นแล้ว
จากข้อมูลอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (14 เม.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสวีเดน 497 คน ยอดผู้ป่วยสะสม 11,445 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 1,033 คน หลังพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 114 คน
ทั้งนี้ แม้อัตราการเสียชีวิตยังต่ำกว่าอิตาลี และสหราชอาณาจักร อยู่มาก แต่สวีเดนกลายเป็นประเทศที่มีสถานการณ์เลวร้ายมากกว่าชาติไหนๆ ในแถบนอร์ดิก โดยสวีเดนมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าฟินแลนด์เกือบ 10 เท่า, สูงกว่านอร์เวย์กว่า 4 เท่า และสูงกว่าเดนมาร์ก 2 เท่า
พัฒนาการดังกล่าวกระตุ้นให้นักวิชาการ 22 คน เรียกร้องรัฐบาลเปลี่ยนแนวทาง “เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางแบบสุดขั้วและทันทีทันใด” พวกเขาเขียนแสดงความคิดเห็นในบทความที่ตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ Dagens Nyheter พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้มาตรการพิเศษต่างๆ นานา ในการปกป้องชีวิตประชาชน
แนวทางนิ่งเฉยของลอฟเวน เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก ในนั้นรวมถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แต่ในสวีเดน หน่วยงานรัฐบาลต่างๆ และเหล่าสมาชิกรัฐสภาต่างยืนยันเสียงแข็ง ว่า แนวทางนี้สร้างขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมโดยสมัครใจ คือ มาตรการที่ได้ผลที่สุด ดีกว่าคำสั่งล็อกดาวน์โดยสิ้นเชิง
พวกเขาโต้แย้งว่าโมเดลของสวีเดนมีความยั่งยืนมากกว่าเมื่อต้องต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ที่ยืดเยื้อยาวนาน
กระนั้นด้วยโควิด-19 คร่าชีวิตกลุ่มคนชรามากที่สุดในสวีเดน เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ลอฟเวนจึงยอมรับว่าพวกเขาควรต้องดำเนินการมากกว่าที่เป็นอยู่ในการปกป้องประชาชน