รัสเซียทูเดย์ - นายกรัฐมนตรีสเตฟาน ลอฟเวน แห่งสวีเดน ออกคำแนะนำคัดค้านสวมหน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) เนื่องจากอาจทำให้ผู้คนคิดว่าตนเองปลอดภัยจากไวรัสแล้ว ทั้งที่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ แนวคิดที่สะท้อนนโยบายของรัฐบาล ซึ่งไม่มีการล็อกดาวน์และปล่อยให้ประชาชนดำเนินชีวิตต่อไปในรูปแบบที่เทียบจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ
ระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันพุธ (13 พ.ค.) ลอฟเวน ระบุว่าการสวมหน้ากากอาจทำให้ผู้สวมใส่ คิดว่าตนเองมีความปลอดภัยเพียงพอแล้ว จนเพิกเฉยต่อคำแนะนำเว้นระยะห่างทางสังคม
"มันมีความเสี่ยงเกี่ยวกับความรู้สึกผิด ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัย คุณจะรู้สึกว่าคุณคงไม่ติดเชื้อหากว่าคุณสวมหน้ากาก" นายกรัฐมนตรีสวีเดนกล่าว พร้อมแนะนำให้บุคคลที่มีอาการ แม้แสดงอาการเล็กน้อยมาก ๆ ให้อยู่แต่ในบ้าน เว้นระยะห่างทางสังคมและหมั่นล้างมืออยู่เป็นประจำ
คำแนะนำของลอฟเวน สวนทางกับคำชี้แนะของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จากเกือบทั่วโลก ซึ่งบอกว่าการสวมหน้ากากไม่ใช่เพื่อป้องกันผู้สวมใส่ แต่เป็นการป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นนำเชื้อไวรัสไปแพร่ติดคนอื่น ๆ โดยเฉพาะกับบุคคลที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ
สำนักงานสาธารณสุขสวีเดนยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ซึ่งมีการสัมผัสใกล้ชิดกับคนไข้เท่านั้นที่ควรสวมหน้ากาก ในขณะที่คนทั่วไปในชุมนุม หน้ากากอนามัยไม่ใช่สิ่งจำเป็น
ประเทศแห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งเดียวในยุโรปที่ไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเป็นพิเศษอย่างที่พบเห็นกันในชาติอื่น ๆ โดยสวีเดนพึ่งสามัญสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมของประชาชนเป็นสำคัญ ในความพยายามยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
สวีเดนเลือกใช้ยุทธศาสตร์ "ภูมิคุ้มกันหมู่" อนุญาตให้โรงเรียนระดับประถมและมัธยมยังคงเปิดการเรียนการสอน ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารก็เปิดบริการภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและสุขอนามัยที่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมาตรการเหล่านั้นล้วนอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจ
ในวันพฤหัสบดี (14พ.ค.) สวีเดน พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 673 คน ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 28,582 คน ขณะเดียวกันพบผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม 69 คน ตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 3,529 คน
ทั้งนี้แม้ยอดผู้เสียชีวิตจากสูงกว่าบรรดาประเทศแถบสแกนดิเนเวียชาตือื่น ๆ แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าอีกหลายประเทศที่บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น
อย่างไรก็ตามทางการสวีเดน ยอมรับว่าประสบความล้มเหลวในการดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา และสถานพยาบาลผู้ป่วยเรื้อรังกลายเป็นผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยสาเหตุสำคัญคือมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ
