Senior scientist says administration ignored virus warnings
By RICARDO ALONSO-ZALDIVAR, MICHAEL BALSAMO and COLLEEN LONG Associated Press
05/05/2020
น.พ.ริก ไบรต์ อดีตผู้อำนวยการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้โรคระบาดและพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาแฉโพยว่า คณะบริหารทรัมป์ล้มเหลวย่ำแย่ในการเตรียมรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แล้วเมื่อมันแพร่กระจายไปในอเมริกาแล้ว ก็พยายามเร่งรัดให้ใช้ยาที่ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มารักษาคนไข้
คณะบริหารประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บกพร่องล้มเหลวในการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการกระหน่ำโจมตีของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากนั้นก็เที่ยวหาวิธีการแบบซ่อมแซมปะผุอย่างรวดเร็ว ด้วยการพยายามเร่งรัดให้ใช้ยาที่ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์มารักษาคนไข้ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์อาวุโสของภาครัฐบาลผู้หนึ่งตั้งข้อกล่าวหาเช่นนี้ ในหนังสือร้องเรียนในฐานะเป็นบุคคลวงในซึ่งต้องการเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของหน่วยงาน (whistleblower)
น.พ.ริก ไบรต์ (Dr. Rick Bright) อดีตผู้อำนวยการของ องค์การวิจัยและพัฒนาทางชีวการแพทย์ชั้นสูง (Biomedical Advanced Research and Development Authority) กล่าวหาต่อไปว่า เขาถูกคำสั่งโยกย้ายให้ไปทำงานในบทบาทหน้าที่ซึ่งด้อยลงมา เนื่องจากเขาต่อต้านแรงบีบคั้นทางการเมืองที่จะให้เปิดทางยินยอมให้นำเอา “ไฮดรอกซีคลอโรควิน” (hydroxychloroquine) ยารักษามาลาเรียซึ่งผลักดันโดยประธานาธิบดีทรัมป์ มาใช้กับผู้ป่วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างกว้างขวาง เขากล่าวว่าคณะบริหารทรัมป์ต้องการที่จะ นำเอายานี้ออกมาใช้กันอย่างชนิด “ท่วมท้น” จุดฮอตสปอตที่กำลังเกิดการระบาดหนักทั้งหลายในนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์
“ผมเป็นพยานพบเห็นการที่คณะผู้นำรัฐบาล รีบพุ่งตัวอย่างมืดบอดเข้าไปในสถานการณ์อันมีศักยภาพที่จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ด้วยการนำเอายาคลอโรควินที่ไม่ได้รับการรับรองโดยเอฟดีเอ (สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ) เข้ามาจากปากีสถานและอินเดีย จากโรงงานต่างๆ (ในสองประเทศนี้) ที่ไม่เคยได้รับการรับรองโดยเอฟดีเอ” ไบรต์แถลงเช่นนี้ในวันอังคาร (5 ก.ค.) ระหว่างการแถลงกับพวกผู้สื่อข่าวผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ “ความกระตือรือร้นของพวกเขาที่จะผลักดันให้เร่งเดินหน้าไปอย่างมืดบอดโดยปราศจากข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อดันเอายานี้เข้าไปอยู่ในมือของชาวอเมริกันนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้ผมและเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายของผมรู้สึกตกใจหวาดหวั่น”
ไบรต์ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายพิเศษ (Office of Special Counsel) หน่วยงานรัฐบาลทำหน้าที่สอบสวนกรณีการแก้เผ็ดกลั่นแกล้งพวกลูกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯซึ่งเป็นผู้เปิดโปงแฉโพยปัญหาต่างๆ เขาระบุว่าเขาต้องการได้ตำแหน่งเดิมกลับคืน รวมทั้งต้องการให้ดำเนินการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
ด้านกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services ใช้อักษรย่อว่า HHS) ออกคำแถลงสั้นๆ กล่าวว่า ไบรต์ถูกย้ายไปอยู่ที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) เพื่อทำงานเรื่องการทดสอบไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นหน้าที่การงานที่สำคัญอย่างยิ่งงานหนึ่ง “เรารู้สึกผิดหวังอย่างลึกซึ้งที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวเพื่อทำงานในนามของประชาชนชาวอเมริกัน และเป็นผู้นำหน้าในความพยายามอันสำคัญอย่างยิ่งนี้” เคตลิน โอคลีย์ (Caitlin Oakley) โฆษกของ HHS ระบุ
ตามการแถลงของ HHS ไบรต์ไม่ได้ไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่งใหม่ของเขา ทว่าโฆษกของไบรต์เองกล่าวว่า ไบรต์อยู่ในระหว่างลาป่วยตามคำสั่งของแพทย์ของเขา และบอกด้วยว่า HHS ไม่เคยให้รายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทใหม่ของเขาแก่ตัวไบรต์เลย
การร้องเรียนของไบรต์บังเกิดขึ้นขณะที่คณะบริหารทรัมป์เผชิญการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องความผิดพลาดบกพร่องเกี่ยวกับการตอบโต้รับมือกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 เป็นต้นว่า ความผิดพลาดในการตรวจทดสอบหาผู้ติดเชื้อ และการขาดแคลนข้าวของอุปกรณ์ทั้งเครื่องช่วยหายใจ, หน้ากากอนามมัย, และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อสกัดกั้นการติดต่อของเชื้อโรค โดยที่ปัจจุบันในสหรัฐฯมีเคสติดเชิ้อที่ยืนยันแล้วจำนวนกว่า 1.2 ล้านราย และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 70,000 คน
ไบรต์บอกว่าพวกผู้บังคับบัญชาของเขาปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ยอมรับรู้รับฟังการเตือนภัยของเขาที่ว่าไวรัสนี้จะติดต่อแพร่กระจายในสหรัฐฯ รวมทั้งทำให้พลาดโอกาสดีๆ แต่เนิ่นๆ ที่จะสะสมรวบรวมสต็อกหน้ากากอนามัยสำหรับให้ผู้มีหน้าที่ต่อสู้กับโรคนี้ได้ใช้งาน เขากล่าวว่าเขา “ได้ลงมือกระทำอย่างเร่งด่วน” เพื่อรับมือกับการแพร่กระจายที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ของโรคโควิด-19 หลังจากองค์การอนามัยโลกออกคำเตือนเรื่องนี้ในเดือนมกราคม
ทางด้าน ส.ส.แอนนา อะชู (Anna Eshoo) จากรัฐแคลิฟอร์เนีย สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นประธานคณะอนุกรรมการว่าด้วยสาธารณสุข ในคณะกรรมาธิการพลังงานและพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แถลงว่า เธอวางแผนจะจัดการรับฟังในเรื่องการร้องเรียนของไบรต์ในสัปดาห์หน้า โดยที่ทีมทนายความของไบรต์พูดแล้วว่าเขาจะมาให้ปากคำ ขณะที่ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ปรากฏตัวทาง เอ็มเอสเอ็นบีซี กล่าวว่า การร้องเรียนนี้ได้พูดถึงเรื่องที่ “สร้างความเสียหายมากๆ”
ในหนังสือร้องเรียนของเขา ไบรต์บอกว่าเขา “เผชิญการต่อต้านจากคณะผู้นำของ HHS รวมทั้งตัวรัฐมนตรี (อเล็กซ์) อาซาร์ (Alex Azar) ผู้ซึ่งดูเหมือนมีความตั้งใจที่จะลดทอนน้ำหนักความสำคัญของเหตุการณ์วิบัติหายนะคราวนี้”
ระหว่างการพบปะหารือครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ อาซาร์ ก็เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาโดยตรงของไบรต์ คือ ผู้ช่วยรัฐมนตรีสาธารณสุขฝ่ายการเตรียมพร้อมและการตอบโต้รับมือ (Assistant Secretary for Preparedness and Response) โรเบิร์ต แคดเลค (Robert Kadlec) ต่าง “ตอบสนองด้วยความประหลาดใจต่อการทำนายอย่างเลวร้ายน่ากลัวและความเร่งด่วน (ที่ไบรต์ระบุ) และยืนกรานว่าสหรัฐฯจะสามารถสกัดกั้นไวรัสนี้ได้และป้องกันไม่ให้มันเข้ามาได้” นายแพทย์ผู้นี้ระบุในหนังสือร้องเรียน
ไบรต์กล่าวว่า ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาด้านการค้าของทำเนียบขาว เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่หายากยิ่งในหมู่เจ้าหน้าที่คณะบริหารทรัมป์ โดยนาวาร์โรได้แสดงความกังวลเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลต่อเนื่องต่างๆ ที่อาจเป็นไปได้จากการระบาด เขาบรรยายว่าได้ทำงานร่วมกับนาวาร์โรเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคความติดขัดแบบระบบราชการ และสามารถเปิดช่องลำเลียงขนส่งทางทหารเพื่อนำเอาสำลีทำความสะอาดแผลที่จำเป็นต้องใช้กันในสหรัฐฯมาจากอิตาลี
นาวาร์โรเป็นผู้ที่เขียนบันทึกเร่งด่วนหลายฉบับขึ้นมาเพื่อการติดต่อสื่อสารภายในทำเนียบขาว ไบรต์บอกว่านาวาร์โรได้ขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่าที่ปรึกษาด้านการค้าผู้นี้บอกกับเขาว่าจำเป็นต้องทำบันทึกเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อ “ช่วยชีวิตคน”
ทั้งนี้บันทึกหลายๆ ฉบับของนาวาร์โรที่ส่งไปถึงพวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปได้ทำให้เกิดความตระหนกตกใจกันขึ้น แม้ขณะนั้นโดยภายนอกแล้วทรัมป์กำลังให้ความมั่นใจแก่ชาวอเมริกันว่าสามารถควบคุมโรคระบาดนี้เอาไว้ได้อยู่หมัด
ข้อกล่าวหาของไบรต์ที่ว่า เขาถูกโยกย้ายเพราะเขาต่อต้านการนำเอายารักษามาลาเรียมาใช้รักษาโรคระบาดจากไวรัสโคโรนาอย่างกว้างขวางนั้น เป็นเรื่องที่มีการป่าวร้องให้สาธารณชนทราบกันไปแล้ว แต่ในหนังสือร้องเรียนด้วยฐานะเป็นบุคคลวงในผู้ต้องการแฉความไม่ชอบมาพากลของเขาคราวนี้ ยังได้เพิ่มเติมรายละเอียดจากพวกอีเมลและการสื่อสารภายในต่างๆ ขณะเดียวกันยังเผยให้ทราบถึงความพยายามในตอนต้นๆ ของเขาที่จะจัดหารวบรวมหน้ากากอนามัย เอ็น95 ซึ่งเขาบอกว่าพวกผู้บังคับบัญชาของเขาเพิกเฉยไม่ยอมร่วมมือด้วย
ทั้งนี้ ไบรต์บอกว่า เมื่อปลายเดือนมกราคม เขาได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยชั้นนำแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับการเพิ่มการผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งนี้มีการประมาณการกันว่าจำเป็นที่จะต้องใช้หน้ากากอนามัยนี้เป็นจำนวนถึง 3,500 ล้านชิ้น ขณะที่สต็อกของประเทศมีอยู่ราว 300 ล้านชิ้นเท่านั้น
หนังสือร้องเรียนระบุว่า เมื่อตอนที่ไบรต์พยายามผลักดันหยิบยกประเด็นปัญหาเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยมาพูดกับพวกผู้บังคับบัญชาที่ HHS หลายต่อหลายครั้ง เขาก็ถูกเมินเฉยหรือไม่ก็ถูกตอกหน้ากลับ “HHS แถลงต่อสาธารณชนไม่เพียงแค่ว่า โควิด-19 ไม่ได้เป็นภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังบอกด้วยว่า HHS มีหน้ากากอนามัยทั้งหมดที่ทางกระทรวงต้องการแล้ว” หนังสือร้องเรียนบอก
ในตอนที่โรคระบาดนี้แพร่กระจายไปในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปกคลุมท่วมท้นพื้นที่มหานครนิวยอร์ก ไบรต์กล่าวหาว่าพวกที่ได้รับแต่งตั้งจากเส้นสายทางการเมืองให้นั่งตำแหน่งใน HHS ต่างพยายามโปรโมตส่งเสริมให้ใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน “ราวกับว่าเป็นยาครอบจักรวาลรักษาได้สารพัดโรค” เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยัง “เรียกร้องต้องการให้นิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ ‘ท่วมท้น’ ไปด้วยยานี้ ซึ่งถูกนำเข้ามาจากโรงงานต่างๆ ในปากีสถานและอินเดีย ที่ไม่ได้เคยผ่านการตรวจสอบจากเอฟดีเอเลย” หนังสือร้องเรียนระบุ
เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ออกคำเตือนถึงแพทย์ทั้งหลายว่า อย่าได้สั่งจ่ายยาตัวนี้ยกเว้นในกรณีใช้ในโรงพยายามและใช้เพื่อการศึกษาวิจัย ทางเจ้าหน้าที่กำกับตรวจสอบยังเตือนภัยโดยกาดอกจันทน์อ้างอิงถึงรายงานจากหลายๆ ทางซึ่งระบุว่า ในหมู่คนไข้ที่ป่วยด้วยไวรัสโคโรนาซึ่งกำลังใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน หรือคอลโรควิน อันเป็นยาที่เกี่ยวข้องกันนั้น บางครั้งเกิดอาการข้างเคียงเกี่ยวกับหัวใจซึ่งถึงขั้นทำให้เสียชีวิต
ไบรต์รู้สึกว่าพวกเจ้าหน้าที่ของกระทรวง “ปฏิเสธที่จะรับฟังหรือลงมือดำเนินการอย่างเหมาะสมในการแจ้งเรื่องที่ถูกต้องแม่นยำให้สาธารณชนรับทราบ” และเขาได้พูดกับผู้สื่อข่าวรายหนึ่งเกี่ยวกับยาตัวนี้ เขาบอกว่าเขาจำเป็นต้องแจ้งให้สาธารณชนรับรู้ว่าการใช้ยาตัวนี้มารักษาไวรัสโคโรนานั้นไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน ถึงแม้ยานี้กำลังถูกผลักดันจากประธานาธิบดีในเวลาแถลงข่าวก็ตามที
“ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน น.พ.ไบรต์มีข้อสรุปว่าเขามีพันธะผูกพันทางศีลธรรมต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน รวมทั้งพวกที่อ่อนแอเปราะบางด้วยผลของความเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ที่จะต้องปกป้องพวกเขาจากยาซึ่งเขาเชื่อว่าโดยสาระสำคัญแล้วเป็นอันตรายอย่างเจาะจงชัดเจนต่อสุขภาพและความปลอดภัยของสาธารณชน” หนังสือร้องเรียน บอก
นายแพทย์ผู้นี้กล่าวในหนังสือร้องเรียนอีกว่า ในวันที่ 20 มกราคม องค์การอนามัยโลกได้จัดการประชุมหารือฉุกเฉินทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากของ HHS เข้าร่วม และพวกเจ้าหน้าที่ WHO แนะนำว่า “การระบาดคราวนี้เป็นปัญหาใหญ่”
ทรัมป์นั้นกล่าวหาหน่วยงานชำนัญพิเศษของสหประชาชาติแห่งนี้ว่าจัดการกับการระบาดของไวรัสโคโรนานี้อย่างผิดพลาดรวมทั้งปิดบังข้อมูลข่าวสาร ภายหลังที่มันปรากฏตัวขึ้นมาในประเทศจีน เขากล่าวด้วยว่าเขาต้องการที่จะตัดเงินทุนงบประมาณที่สหรัฐฯจ่ายให้แก่ WHO
องค์การที่ไบรต์ทำงานอยู่ มีหน้าที่ปกป้องต่อสู่กับโรคระบาดและเชื้อโรคติดต่อเกิดใหม่ต่างๆ รวมทั้งยังกำลังทำงานเพื่อพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับไวรัสโคโรนานี้ด้วย
ในหนังสือร้องเรียน เขารายงานด้วยว่า พวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปยังพยายามกดดันเขาให้เข้าข้างทำให้ลูกค้ารายหนึ่งของนักล็อบบี้เจ้าหนึ่งได้รับสัญญาจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ
“ผมถูกกดดันครั้งแล้วครั้งเล่าให้เพิกเฉยหรือบอกปัดไม่ฟังพวกคำรับรองที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญ และหันมาให้สัญญาจัดซื้อจัดจ้างกำไรงามๆ โดยอิงอยู่กับคอนเนกชั่นทางการเมือง” ไบรต์กล่าวในการให้สัมภาษณ์พวกผู้สื่อข่าวทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ “พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมถูกบีบคั้นให้ยินยอมปล่อยให้การเมืองและลัทธิพวกพ้อง มาเป็นตัวขับดันการตัดสินใจต่างๆ แทนที่จะรับฟังความคิดเห็นของเหล่านักวิทยาศาสตร์ชั้นเลิศที่สุดที่เรามีอยู่ในภาครัฐบาล”
ทางด้าน แซคเคอรี เคอร์ซ (Zachary Kurz) โฆษกของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายพิเศษ ซึ่งไบรต์ไปยื่นหนังสือร้องเรียน แถลงทางว่าทางสำนักงานไม่สามารถแสดงความคิดเห็น ตลอดจนไม่สามารถยืนยันว่ามีการสอบสวนการร้องเรียนใดๆ หรือไม่
หมายเหตุผู้แปล
หลังจากการยื่นหนังสือร้องเรียนของ น.พ.ริก ไบรต์ วันรุ่งขึ้น (6 พ.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นตอบโต้ จึงขอเก็บความจากรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ มาเสนอเพิ่มเติมในที่นี้
‘ทรัมป์’เรียก‘หมอไบรต์’ที่แฉโพยข้อผิดพลาดรับมือ‘โควิด’ เป็น‘คนเจ้าคิดเจ้าแค้น’
โดย สำนักข่าวรอยเตอร์
Trump calls ousted whistleblower Bright a 'disgruntled employee'
By Jeff Mason and Jan Wolfe, Reuters
06/05/2020
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวในวันพุธ (6 พ.ค.) ว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง และได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนในฐานะเป็นบุคคลวงในซึ่งต้องการเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของหน่วยงาน (whistleblower) ซึ่งกล่าวหาคณะบริหารของสหรัฐฯว่ามุ่งกลั่นแกล้งแก้เผ็ดการที่เขาส่งเสียงแสดงความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มาตั้งแต่เดือนมกราคมนั้น ดูเหมือนกับเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นที่ต้องการช่วยเหลือพวกพรรคเดโมแครต
ประธานาธิบดีสังกัดพรรครีพับลิกันผู้นี้บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เขาไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรดีๆ เกี่ยวกับตัว ริก ไบรต์ ผู้ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้วถูกโยกย้ายออกมาจากตำแหน่งผู้อำนวยการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯที่รับผิดชอบพัฒนายาสำหรับใช้ต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19
“ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร แต่ผมไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรดีๆ เกี่ยวกับตัวเขาเลย” ทรัมป์บอก “สำหรับผมแล้ว เขาดูเหมือนกับเป็นลูกจ้างรัฐบาลที่เจ้าคิดเจ้าแค้นคนหนึ่ง ซึ่งกำลังพยายามช่วยเหลือให้พวกพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง”
ไบรต์เข้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของ องค์การวิจัยและพัฒนาทางชีวการแพทย์ชั้นสูง (Biomedical Advanced Research and Development Authority ใช้อักษรย่อว่า BARDA) มาตั้งแต่ปี 2016