Signs missed and steps slowed in Trump's pandemic response
By JONATHAN LEMIRE, ZEKE MILLER, JILL COLVIN and RICARDO ALONSO-ZALDIVAR Associated Press
13/04/2020
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำลังเที่ยวกล่าวโทษคนอื่นๆ ทั้งจีนและองค์การอนามัยโลกว่าปกปิดข้อมูลหรือให้คำแนะนำที่ผิดพลาด เกี่ยวกับโรคระบาดใหญ่จากไวรัสโควิด-19 ซึ่งกำลังทำให้ผู้คนในอเมริกาล้มป่วยหลายแสนคนและเสียชีวิตแล้วหลายหมื่นคน แต่จากการย้อนรอยตรวจสอบสิ่งที่ทรัมป์และคณะบริหารของเขากระทำในช่วงเวลาร่วม 2 เดือนก่อนหน้าที่เขาจะออกมาแถลงเกี่ยวกับไวรัสนี้ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก กลับส่อแสดงให้เห็นถึงการละเลยไม่ใส่ใจสัญญาณเตือนภัยต่างๆ และการใช้ก้าวเดินที่ชักช้าเกินไปในการรับมือกับโรคระบาด
กว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเอ่ยปากพูดเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อหน้าสาธารณชนอเมริกันเป็นครั้งแรก วันเวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนกระทั่งมันสายเกินไปเสียแล้ว
ขณะที่เขาให้สัมภาษณ์ในงานชุมนุมประจำปีของพวกผู้นำระดับโลก ณ ดาวอส (Davos) รีสอร์ตบนเทือกเขาแอลป์ในเขตแดนของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ให้ความสำคัญอะไรต่อภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นในประเทศจีน และเพิ่งแพร่ติดต่อมาถึงชายฝั่งอเมริกันในวันนั้น ในรูปของคนไข้เดี่ยวๆ เพียงคนเดียวในมลรัฐวอชิงตัน
“เราสามารถควบคุมมันได้อย่างเบ็ดเสร็จ” ทรัมป์บอกกับโทรทัศน์ซีเอ็นบีซี “คนป่วยมีคนเดียว เป็นผู้ที่กำลังเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯจากประเทศจีน เราสามารถควบคุมมันได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว มันจะเรียบร้อยไม่มีอะไรหรอก”
ภายในระยะเวลา 11 สัปดาห์หลังจากการให้สัมภาษณ์คราวนั้น เชื้อไวรัสโคโรนานี้ก็ได้แพร่ลามไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้มีคนอเมริกันติดเชื้อนี้ไปแล้วมากกว่า 500,000 คน และเข่นฆ่าคนอเมริกันไปอย่างน้อย 20,000 คน (เมื่อถึงตอนเช้าวันที่ 19 เม.ย. ในสหรัฐฯมีผู้ติดเชื้อกว่า 735,000 คน และเสียชีวิตมากกว่า 39,000 คน -ผู้แปล) ไวรัสนี้ยังส่งผลทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคมจำนวนมากต้องเปลี่ยนแปลงกันใหม่ ผู้คนต้องถูกแยกตัวให้อยู่แต่ภายในบ้านของตนเอง โรงเรียนสถานศึกษาต้องปิด เศรษฐกิจได้รับความเสียหายหนัก และคนเป็นล้านๆ กลายเป็นคนตกงาน
ตอนที่ทรัมป์พูดในสวิตเซอร์แลนด์ ระยะเวลาหลายสัปดาห์อันมีค่าในท่ามกลางสัญญาณเตือนภัยซึ่งดังก้องขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ในอีกประมาณ 1 เดือนถัดจากนั้น ก่อนที่ประธานาธิบดีผู้นี้จะออกมาแถลงถึงวิกฤตการณ์คราวนี้จากทำเนียบขาว ก้าวเดินสำคัญๆ ทั้งหลายที่ควรจะต้องดำเนินการกันได้แล้ว เพื่อเตรียมประเทศชาติให้พรักพร้อมสำหรับรับมือกับโรคระบาดใหญ่ที่กำลังรุกคืบเข้ามา กลับยังคงไม่มีการลงมืออะไร
พวกเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นแก่การช่วยชีวิต ไม่มีการรวบรวมสะสมเอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด การเดินทางของผู้คนส่วนใหญ่ยังคงดำเนินไปโดยไม่ถูกขัดขวาง ข้อมูลทางสาธารณสุขที่มีความสำคัญยิ่งยวดจากจีน ไม่ได้ถูกแจกจ่ายส่งออกไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือไม่ก็ถูกประเมินว่าไม่มีคุณค่าควรแก่การเชื่อถือ ทำเนียบขาวยังคงอยู่ในสภาพแตกแยกจากการที่ฝ่ายต่างๆ เป็นปรปักษ์กัน และการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะลงมือทำอะไรสักอย่างยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า คำเตือนเร่งด่วนทั้งหลายถูกละเลยเพิกเฉยจากประธานาธิบดีผู้ซึ่งเวลาหมดเปลืองไปกับเรื่องการรับมือการไต่สวนของรัฐสภาเพื่อถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง และเรื่องที่เขามุ่งมั่นตั้งใจที่จะพิทักษ์ปกป้องเศรษฐกิจอันสดใสเข้มแข็งเอาไว้ให้ได้ โดยที่เขามองว่ามันเป็นแกนกลางซึ่งจะสร้างโอกาสให้เขาได้รับเลือกตั้งอีกสมัยหนึ่ง
สำนักข่าวเอพีได้ติดต่อสัมภาษณ์บรรดาเจ้าหน้าที่คณะบริหารของประธานาธิบดีทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนชาวพรรครีพับลิกันซึ่งมีความใกล้ชิดกับทำเนียบขาว รวมแล้วประมาณ 20 คน เพื่อนำมาเขียนเป็นรายงานชิ้นนี้ ซึ่งมุ่งบรรยายให้ทราบถึงระยะเวลาหลายๆ สัปดาห์อันสำคัญยิ่งยวดแต่กลับต้องสูญเปล่าไป ก่อนที่ท่านประธานาธิบดีจะออกมาพูดกับประชาชนทั่วประเทศในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ แหล่งข่าวเหล่านี้ส่วนใหญ่ขอพูดแบบไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับมอบอำนาจให้พูดเล่าให้สาธารณชนรับทราบ ถึงการอภิปรายถกเถียงกันต่างๆ ซึ่งกระทำกันเป็นการภายใน
“โรคปอดบวมลึกลับ”
ในวันส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม 2019 จีนแจ้งให้องค์การอนามัยโลกทราบว่า “เกิดการระบาดของโรคปอดบวมลึกลับ” ที่กำลังแพร่เชื้อติดต่อผู้คนในนครอู่ฮั่น เมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งมีประชากร 11 ล้านคนทางภาคกลางของแดนมังกร
รัฐบาลได้ปิดตลาดอาหารทะเลที่มีการขายสัตว์ป่าเพื่อใช้เป็นอาหารด้วย ซึ่งถูกระบุว่าเป็นศูนย์กลางของการระบาดคราวนี้, เคลื่อนย้ายคนไข้ติดเชื้อไวรัสทั้งหมดไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายเป็นพิเศษให้ทำหน้าที่นี้ , และรวบรวมตัวอย่างสำหรับการตรวจทดสอบเพื่อส่งไปยังห้องแล็บแห่งต่างๆ ของรัฐบาล ขณะเดียวกันบรรดาแพทย์ได้รับคำสั่งให้ปิดปากเงียบไว้ ปรากฏว่ามีอยู่คนหนึ่งเขียนคำเตือนภัยผ่านทางออนไลน์ ซึ่งก็ถูกลงโทษ ในเวลาต่อมาแพทย์ผู้นี้ได้เสียชีวิตไปด้วยไวรัสร้ายนี้
เพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) ทราบเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ครั้งแรกตั้งแต่เดือนธันวาคม จากพวกรายงานข่าวของสื่อวงกว้างที่เผยแพร่ออกมาจากจีน ครั้นเมื่อถึงต้นเดือนมกราคม คำเตือนเกี่ยวกับไวรัสนี้ได้ผ่านเข้าไปปรากฏอยู่ตามรายงานข่าวกรองซึ่งหมุนเวียนกันอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล ในวันที่ 3 มกราคม โรเบิร์ต เรดฟิลด์ (Robert Redfield) ผู้อำนวยการของศูนย์กลางเพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของสหรัฐฯ (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ได้รับโทรศัพท์ติดต่อมาจากผู้อำนวยการหน่วยงานแบบเดียวกันนี้ของฝ่ายจีน เพื่อบอกข่าวเตือนภัยกันอย่างเป็นทางการ
น.พ.แอนโธนี เฟาซี (Dr. Anthony Fauci) ผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปด้านโรคติดต่อของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับแจ้งเตือนภัยเกี่ยวกับไวรัสนี้ในช่วงเวลาประมาณเดียวกัน และภายใน 2 สัปดาห์ก็มีความหวาดกลัวกันว่ามันอาจจะก่อให้เกิดความวิบัติหายนะใหญ่โตในระดับทั่วโลก
เจ้าหน้าที่ทั้งด้านข่าวกรองและด้านสาธารณสุของสหรัฐฯเริ่มเกิดความสงสัยข้องใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกี่ยวกับอัตราผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตที่จีนรายงานออกมา พวกเขากดดันจีนเพื่อให้ยินยอมอนุญาตให้คณะนักระบาดวิทยาของสหรัฐฯเดินทางเข้าไป –ทั้งเพื่อช่วยประเทศนั้นในการรับมือเผชิญหน้ากับการระบาด และทั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจอันลึกซึ้งซึ่งจะกลายเป็นสิ่งมีค่าที่อาจช่วยเหลือซื้อเวลาสำหรับการเตรียมตัวและตอบโต้รับมือของสหรัฐฯเอง พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันยังกดดันจีนให้ส่งตัวอย่างไวรัสมายังแล็บของสหรัฐฯเพื่อการศึกษา และเพื่อการพัฒนาวัคซีน ตลอดจนการพัฒนาชุดตรวจทดสอบ
ในวันที่ 11 มกราคม จีนจัดส่งลำดับดีเอ็นเอของไวรัสนี้มาให้ วันเดียวกันนั้น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health) ก็เริ่มต้นการทำงานเพื่อพัฒนาวัคซีน
ในที่สุดแล้ว สหรัฐฯสามารถทำให้จีนยินยอมให้วอชิงตันจัดส่งคน 2 คนเข้าร่วมในทีมผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก ซึ่งได้เดินทางไปจีนในช่วงต่อมาของเดือนนั้น ทว่าเมื่อถึงตอนนั้น ระยะเวลาหลายสัปดาห์อันมีค่าก็ได้สูญเสียไปแล้ว และไวรัสนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเอเชีย รวมทั้งเริ่มต้นกระโจนไปยังทวีปอื่นๆ
ต้องรอบคอบระมัดระวัง
ระหว่างวันเวลาจำนวนมากของเดือนมกราคม พวกเจ้าหน้าที่คณะบริหารทรัมป์ ต้องพะวักพะวนอยู่กับการดำเนินการที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว และต้องใช้ความรอบคอบระมัดระวัง
สำหรับภายในแล้ว พวกเขาส่งสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องนำชาวอเมริกันซึ่งกำลังอยู่ในจีนให้ออกมาจากประเทศนั้น แต่สำหรับภายนอก พวกเขาต้องคอยส่งถ้อยคำสนับสนุนให้กำลังใจและคำยกย่องชมเชยไปถึงฝ่ายจีน ด้วยความหวังว่าปักกิ่งจะยินยอมอนุญาตให้ฝ่ายอเมริกันสามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆ
แมทธิว พอตติงเกอร์ (Matthew Pottinger) รองที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ เรียกร้องยืนกรานให้ลงมืออย่างแข็งกร้าวยิ่งขึ้นในการกดดันจีน และในการส่งทีมงานของสหรัฐฯ เข้าไปที่นั่น
ทว่าขณะที่เรื่องราวเกี่ยวกับไวรัสนี้ถูกบรรจุเอาไว้ในการบรรยายสรุปข่าวกรองต่อประธานาธิบดีหลายครั้งหลายคราว ทรัมป์กลับไม่ได้รับรายงานแบบจัดเต็มเกี่ยวกับภัยคุกคามนี้ จวบจนกระทั่งรัฐมนตรีสาธารณสุขและการบริการด้านมนุษย์ (Health and Human Services Secretary) อเล็กซ์ อาซาร์ (Alex Azar) โทรศัพท์ไปหาเพื่อรายงานความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มกราคม ขณะที่ประธานาธิบดีกำลังพักอยู่ในคลับมาร์-อา-ลาโก กอล์ฟคลับส่วนตัวของเขาในรัฐฟลอริดา
ทรัมป์ใช้เวลาจำนวนมากของการสนทนาคราวนั้น โดยที่ต้องการพูดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เขากำลังพิจารณานโยบายใหม่ที่มุ่งจำกัดการสูบบุหรี่ประเภทนี้ มาถึงตอนนี้พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเชื่อกันว่า เวลานั้นทรัมป์ไม่ได้เข้าอกเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าไวรัสโคโรนากำลังเป็นภัยคุกคามสหรัฐฯมากมายขนาดไหน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เนื่องจาก อาซาร์ ผู้ซึ่งมีความบาดหมางกับพวกสมาชิกระดับคนสนิทวงในของทรัมป์เป็นจำนวนมาก ทำงานได้แย่ในการสื่อสารถ่ายทอดเรื่องนี้ อาซาร์เองนั้นพยายามประคับประคองตัว อยู่ระหว่างคำแถลงต่างๆ ที่มองโลกอย่างสดใสของทรัมป์ กับการตระเตรียมรัฐบาลให้พร้อมสำหรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า “ความเสี่ยงของอเมริกายังคงต่ำอยู่ในตอนนี้” เขาบอกกับพวกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯในช่วงหลังจากนี้ “แต่นั่นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว”
ยิ่งกว่านั้น ตัวประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังอยู่ในกระบวนการถูกวุฒิสภาไต่สวนพิจารณาความผิดเพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตามคำฟ้องร้องของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคเดโมแครตครองอำนาจอยู่ และแทบไม่สนใจเรื่องอื่นๆ เอาเลย โดยในแทบจะทุกๆ การประชุมหารือของทำเนียบขาวที่เขาเข้าร่วม ทรัมป์จะคอยขัดจังหวะบ่นว่าเรื่องที่พวกเดโมแครตเฮโลกันออกมามุ่งเล่นงานเขาให้อยู่หมัด เป็นความคับแค้นใจที่เขาเที่ยวรำพันต่อเนื่องไปจนดึกดื่นจากโทรศัพท์ในเขตที่พำนักส่วนตัวของเขา
ทรัมป์ยังแทบไม่มีความปรารถนาที่จะกดดันปักกิ่งหรือวิพากษ์วิจารณ์ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ผู้ซึ่งเขาจะต้องขอความร่วมมืออย่างชัวร์ๆ ในเรื่องการยุติสงครามการค้าที่ดำเนินมาได้ 1 ปีเต็ม ก่อนที่การณรงค์หาเสียงให้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ของเขาจะเริ่มเข้าช่วงใช้เกียร์สูง เมื่อตอนที่ทรัมป์เจอคำถามแรกเกี่ยวกับไวรัสระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่ดาวอส เขากระตือรือร้นที่จะยกย่องชมเชยการรับมือของสี จนเกินเลยไปมากจากสิ่งที่พวกผู้ช่วยของเขาเสนอแนะเอาไว้ นั่นคือ ควรจะแค่ส่งข้อความออกไปให้ทราบแบบพอสมน้ำสมเนื้อ
การต่อสู้กันภายในทำเนียบขาว
ในหมู่ผู้ทำงานภายในทำเนียบขาวเวลานั้น อยู่ในอาการลอยเท้งเต้งไม่มีหางเสือ
ถึงระยะปลายเดือนมกราคม รักษาการประธานเจ้าหน้าที่ (acting chief of staff) ของทำเนียบขาว มิก มุลเวนีย์ (Mick Mulvaney) อยู่ในอาการครองตำแหน่งไว้ได้แต่เพียงในนามเท่านั้น ท่ามกลางข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาจะออกหลังกระบวนการพิจารณาถอดถอนของรัฐสภาสิ้นสุดลง เขาเป็นผู้เดินหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจรับมือไวรัสโคโรนาในช่วงต้นๆ ซึ่งเจอเต็มๆ กับการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันภายใน เวลาเดียวกันนั้น สำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณของทำเนียบขาว (White House Office of Management and) ก็เปิดศึกปะทะกับกระทรวงสาธารณสุขและบริการด้านมนุษย์ (HHS) ของอาซาร์ ในเรื่องเงินงบประมาณที่จะนำมาใช้สู้รบกับไวรัส
HHS ต้องการยื่นของบประมาณพิเศษเพื่อใช้รับมือไวรัสโคโรนาต่อทางรัฐสภา ทว่าสำนักงานงบประมาณทำเนียบขาวต่อต้านคัดค้านอยู่นานหลายสัปดาห์ โดยยืนยันว่า HHS ควรที่จะแบ่งสรรเงินจำนวน 250 ล้านดอลลาร์ออกมาจากงบประมาณที่มีอยู่แล้วของกระทรวง และขอปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ซื้ออุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์มาสะสมไว้ในคลังอุปกรณ์ของประเทศ อย่างไรก็ดี HHS อ้างว่า ถ้าไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว กระทรวงก็ไม่สามารถจัดซื้อพวกหน้ากากอนามัย, เสื้อกาวน์, และเครื่องช่วยหายใจ ในปริมาณที่จำเป็นเพื่อเพิ่มพูนจำนวนซึ่งมีอยู่ในคลังของประเทศอย่างรวดเร็วได้
ท้ายที่สุด ร่างของบประมาณเบื้องต้นเพื่อใช้รับมือไวรัสได้ถูกส่งไปยังรัฐสภาด้วยวงเงิน 2,500 ล้านดอลลาร์ อันเป็นจำนวนซึ่งสมาชิกรัฐสภาของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างไม่เอาด้วยเนื่องจากต่ำเกินไป ทั้งนี้ร่างกฎหมายซึ่งรัฐสภาพิจารณาผ่านออกมาอย่างรวดเร็วและทรัมป์ก็รีบเซ็นรับรอง (ฉบับแรกในจำนวน 3 ฉบับเท่าที่ออกมาจนถึงตอนนี้) มีวงเงิน 8,000 ล้านดอลลาร์
กระทั่งีระหว่างที่ 2 หน่วยงานดังกล่าวข้างต้นต่อสู้ฟาดฟันกัน ก็ยังไม่มีเสียงทรงอิทธิพลใดๆ ในแวดวงโคจรของทรัมป์ ผลักดันให้เขาลงมือดำนินการอย่างรวดเร็วในเรื่องโรคระบาด ทรัมป์นั้นนำเอาพวกจงรักภักดีต่อเขามารายล้อมอยู่รอบตัว และแทบไม่มีใครในคณะบริหาร รวมไปถึงที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ โรเบิร์ต โอไบรอัน (Robert O'Brien) ซึ่งสามารถที่จะหันเหเรียกหาความสนใจจากประธานาธิบดีได้ ตอนกลางเดือนมกราคม มีการจัดประชุมกันหลายครั้งที่ทำเนียบขาว แต่โฟกัสกันที่การนำเอาพวกข้าราชการและลูกจ้างรัฐบาลสหรัฐฯกลับออกมาจากจีน โดยที่ปักกิ่งนั้นยังคงพยายามลดทอนขนาดขอบเขตความร้ายแรงของโรคติดต่อคราวนี้
มีบันทึกภายในฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 29 มกราคม จาก ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาว ซึ่งเขียนทำนายเอาไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับความท้าทายบางประการที่สหรัฐฯเผชิญอยู่จากสิ่งที่เวลาต่อมาจะกลายเป็นโรคระบาดใหญ่โตร้ายแรง ถึงแม้พูดไม่ได้ว่าเขาเป็นบุคคลแรกที่ส่งเสียงกดกริ่งเตือนภัยเช่นนี้ แต่เขาก็เหมือนกับ พอตติงเกอร์ นั่นคือถูกคนอื่นๆ ในทำเนียบขาวมองว่าเป็น “เหยี่ยวจีน” (China hawk พวกที่สนับสนุนให้ใช้ความแข็งกร้าวกับจีน -ผู้แปล) และความกังวลของพวกเขาเหล่านี้ ก็ถูกบอกปัดจากคนอื่นๆในคณะบริหาร โดยไม่นำมันมาเสนอต่อประธานาธิบดี
วันที่ 30 มกราคม องค์การอนามัยโลกประกาศว่าไวรัสนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก ในเวลาเดียวกับที่ทรัมป์จัดการชุมนุมรณรงค์หาเสียงที่มีผู้คนแน่นขนัดในรัฐไอโอวา วันรุ่งขึ้น คณะบริหารทรัมป์สั่งห้ามไม่ให้บุคคลสัญชาติต่างประเทศผู้เคยเดินทางไปจีนในรอบ 14 วันที่ผ่านมา เดินทางเข้าสหรัฐฯ ยกเว้นเฉพาะสมาชิกสายตรงในครอบครัวของพลเมืองอเมริกัน หรือของผู้มีถิ่นฐานถาวรในสหรัฐฯ
ทรัมป์ออกลีลาให้เห็นไปว่านี่เป็นการลงมือดำเนินการแบบห้าวหาญ แต่ยังคงพูดลดทอนน้ำหนักความร้ายแรงของภัยคุกคามจากไวรัสอยู่นั่นเอง ถึงแม้มีคำสั่งห้ามไปแล้ว ก็ยังมีผู้คนเกือบๆ 40,000 คนเดินทางมาถึงสหรัฐฯด้วยเที่ยวบินตรงจากจีนนับตั้งแต่วันดังกล่าว ทั้งนี้ตามการวิเคราะห์ของนิวยอร์กไทมส์
ทำเนียบขาวปฏิเสธเสียงแข็งว่า ตนไม่ได้เชื่องช้าในการลงมือดำเนินการเลย
“ขณะที่พวกสื่อและพวกพรรคเดโมแครตปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ถึงความร้ายแรงของไวรัสนี้เมื่อเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์” โฆษกทำเนียบขาว จัดด์ เดียร์ (Judd Deere) แถลง “ประธานาธิบดีทรัมป์กลับลงมือดำเนินการอย่างห้าวหาญเพื่อปกป้องคุ้มครองชาวอเมริกัน และใช้อำนาจอย่างเต็มที่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯในการสกัดกั้นการแพร่กระจายของไวรัส, ขยายศักยภาพความสามารถในการตรวจทดสอบ, และกระตุ้นเร่งรัดการพัฒนาวัคซีน เมื่อตอนที่พวกเขายังไม่มีไอเดียอย่างแท้จริงๆ ใดๆ เกี่ยวกับระดับความสามารถในการติดต่อของโรค หรือการแพร่กระจายโดยผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ”
“พร้อมอย่างยิ่ง”
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ยืนอยู่ต่อหน้าพวกผู้สนับสนุนจำนวนหลายพันคนซึ่งชุมนุมกันเต็มแน่นในการรณรงค์หาเสียงที่รัฐนิวแฮมเชียร์ และประกาศว่า “เมื่อถึงเดือนเมษายน พวกคุณรู้ไหม ตามทฤษฎีแล้ว เมื่ออากาศอุ่นขึ้นมาหน่อยนึง มัน (ไวรัส) ก็จะถอยหนีไปอย่างน่ามหัศจรรย์”
ฝูงชนพากันโห่ร้องรับรองการกล่าวยืนกรานอย่างไร้หลักฐานพิสูจน์ของทรัมป์ ถึงตอนนั้นวุฒิสภาลงมติว่าทรัมป์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหายื่นถอดถอน และประธานาธิบดีผู้นี้ก็ปรับเปลี่ยนจุดสนใจของเขามายังเรื่องการรณรงค์ให้ได้รับเลือกตั้งอีกสมัย ถึงแม้มีคนอื่นๆ ในคณะบริหารเข้ารับหน้าที่เป็นตัวหลักในการต่อสู้กับไวรัส
พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางอนุมัติให้ ซีดีซี เป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาสารตรวจทดสอบไวรัส และทอดทิ้งไม่แยแสพวกภาคเอกชนที่สนอกสนใจ ซึ่งปรากฏว่ากลับกลายเป็นทางเลือกที่ทำให้สูญเสียเวลาอันมีค่า เมื่อชุดตรวจทดสอบที่ ซีดีซี ผลิตออกมานั้น บกพร่องผิดพลาดใช้การไม่ได้
ทรัมป์ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์มากในการปรับเปลี่ยนโยกย้ายผู้ทำหน้าที่นำพาคณะบริหารของเขาต่อสู้ตอบโต้กับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ เขาตั้ง อาซาร์ เข้ารับผิดชอบทีมงานเฉพาะกิจของคณะบริหาร ก่อนที่จะเปลี่ยนตัวมาเป็นรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ (Mike Pence) ตอนราวๆ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ กระทั่งเมื่อไวรัสแพร่ระบาดกันไปทั่วโลกแล้ว พวกมีเสียงดังฟังชัดในทำเนียบขาว เป็นต้นว่า จาเร็ด คุชเนอร์ (Jared Kushner) ที่ปรึกษาอาวุโส (และบุตรเขยของทรัมป์ -ผู้แปล) และ สตีเวน มนูชิน (Steven Mnuchin) รัฐมนตรีว่าการคลัง ยังคงรบเร้าประธานาธิบดีให้หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการระดับบิ๊กๆ ซึ่งอาจทำให้ตลาดการเงินตื่นตกใจ
ประธานาธิบดีทรัมป์นั้นผูกพันเชื่อมโยงชะตากรรมของเขาเอาไว้กับวอลล์สตรีทอย่างแนบแน่น และต้องรอให้ตลาดการเงินเกิดการหกคะเมนตีลังกานั่นแหละ จึงจะทำให้ทรัมป์ออกมาตอบโต้รับมืออย่างเอาจริงเอาจัง ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ทรัมป์อยู่ระหว่างการเดินทางไปเยือนอินเดีย ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดำดิ่งจมดิน 1,000 จุดท่ามกลางความหวาดกลัวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา
ทรัมป์แสดงอาการร้อนรุ่มเกี่ยวกับการหล่นโครมเช่นนี้ของตลาดในขาบินเที่ยวกลับวอชิงตันของเขาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และแสดงความโกรธกริ้วใส่พวกผู้ช่วย เกี่ยวกับความเห็นที่พูดออกมาโดย พ.ญ.แนนซี เมสซอนนิเยอร์ (Dr. Nancy Messonnier) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีดีซี ระหว่างการแถลงข่าวเมื่อวันก่อนหน้า โดยที่เธอเตือนชาวอเมริกันว่าพวกเขาควรต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดจริงจัง
“มันไม่ใช่เป็นคำถามว่าการระบาดจะเกิดขึ้น (ในอเมริกา) หรือไม่อีกต่อไปแล้ว แต่มันกลายเป็นคำถามที่ว่ามันจะเกิดการระบาดขึ้นมาเมื่อไหร่” เธอกล่าว
ทำเนียบขาวประกาศว่า เพนซ์จะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการตอบโต้รับมือไวรัสโคโรนาในคืนวันนั้น แต่แล้วกลับเป็นตัวทรัมป์เองที่ขึ้นมาบนเวที และไม่ได้ถอยออกจากแท่นแถลงข่าวประจำวันที่ทำเนียบขาวอีกเลยนับตั้งแต่บัดนั้น โดยมุ่งที่จะทำให้ตัวเอง (ถึงแม้สายไปมากแล้ว) กลายเป็นหน้าตาของสงครามแห่งการต่อสู้กับไวรัส
เมื่อตอนที่ทรัมป์ขึ้นไปยืนบนแท่นแถลงข่าวในห้องบรรยายสรุปของทำเนียบ เพื่อพูดเรื่องเกี่ยวกับไวรัสนั้น สหรัฐฯมีผู้ป่วยด้วยไวรัสโคโรนาอยู่ 15 คน
“เราอยู่ในระดับที่ต่ำมากๆ และเราก็ต้องการรักษาเอาไว้ให้เป็นอย่างนี้” ทรัมป์บอก “เรามีความพร้อมอย่างยิ่งในเรื่องนี้”