รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ดร.ริค ไบรท์ (Rick Bright) อดีตผู้อำนวยการองค์การความก้าวหน้าทางการวิจัยขั้นสูงชีวะทางการแพทย์และการพัฒนา Biomedical Advanced Research and Development Authority (BARDA) ของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ (5 พ.ค.) ยื่นเรื่องร้องเรียน ว่า ทีมรับมือวิกฤตโคโรนาไวรัสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมไปถึง รัฐมนตรีกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐฯ อเล็กซ์ อาซาร์ (Alex Azar) ในเดือนมกราคม ไม่สนใจคำเตือนเรื่องวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาดที่อาจร้ายแรงไปทั่วโลก พร้อมแสดงความเป็นศัตรูใส่ ชี้ ก่อนถูกกดดันให้ต้องออกจากตำแหน่ง รบ.ทรัมป์ บังคับให้ต้องอนุมัติยาคลอโรควิน (chloroquine) และยังให้สัญญากับคนใกล้ชิดในรบ.สหรัฐฯ
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (5 พ.ค.) ดร.ริค ไบรท์ (Rick Bright) อดีตผู้อำนวยการองค์การความก้าวหน้าทางการวิจัยขั้นสูงชีวะทางการแพทย์และการพัฒนา BARDA (Biomedical Advanced Research and Development Authority) ของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานวอชด็อกของ รบ.สหรัฐฯ ในวันอังคาร (5) ระบุว่า เขาได้เตือนวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ต่อรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มาตั้งแต่เดือนมกราคม และได้รับการแสดงเป็นปฏิปักษ์จากรัฐมนตรีกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐฯ อเล็กซ์ อาซาร์ (Alex Azar) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงาน
“ดร.ไบรท์ ได้กระทำอย่างเร่งด่วนด้วยการเริ่มตอบโต้ต่อวิกฤตการระบาดระดับโลก แต่ได้รับการต่อต้านจากผู้นำของกระทรวง รวมถึง รัฐมนตรีอาซาร์ ที่ดูมีความต้องการที่จะทำให้ภัยคุกคามร้ายแรงนี้เป็นเรื่องเงียบ” รายงานจากคำร้องของ ดร.ไบรท์ อ้างอิงจากทนายความของเขาที่ยื่นต่อสำนักงานที่ปรึกษาพิเศษของสหรัฐอเมริกา (U.S. Office of Special Counsel-OSC)
เกิดขึ้นขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯเกินเจ็ดหมื่นรายในวันนี้ (6) อ้างอิงจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ผู้เสียชีวิต 71,078 คน เมืองนิวยอร์ก ซิตี มีผู้เสียชีวิต 25,124 คน ติดเชื้อรวมในสหรัฐฯ 1,204,475 คน ส่วนผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลกอยู่ที่ 3,682,968 คน เสียชีวิตรวมทั่วโลก 257,906 คน อังกฤษติดเชื้อเป็นอันดับ 2 ของโลกอยู่ที่ 29,501 คน อิตาลี 29,313 คน
ทนายความของ ดร.ไบรท์ ออกมาชี้ว่า การที่ลูกความของเขาถูกให้ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การความก้าวหน้าทางการวิจัยขั้นสูงชีวะทางการแพทย์และการพัฒนา ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐฯนั้น ละเมิดกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯในการปกป้องบุคคลที่ออกมาแฉ
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงออกมาชี้ว่า ได้สั่งย้าย ดร.ไบรท์ ให้ไปในตำแหน่งที่เหมาะสมที่เขาได้รับความไว้วางใจในการดูแลงบราว 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาชุดตรวจ
ด้านโฆษกของ ดร.ไบรท์ แถลงว่า เขาจะเข้าให้การต่อชุดคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯในวันที่ 14 พ.ค.นี้
ดร.ไบรท์เ ป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนและการบำบัดโรค เขากล่าวผ่านแถลงการณ์ในเดือนที่ผ่านมา ว่า เขาถูกลดตำแหน่งและถูกย้ายไปทำหน้าที่อื่นเป็นเพราะเขาแสดงการต่อต้านความพยายามผลักดันยาไฮโดรไซคลอโรควิน (hydroxychloroquine) และยาที่เกี่ยวข้องเพื่อการรักษาโรคโควิด-19 ที่ออกมาจากผู้นำสหรัฐฯ
เขาแสดงเหตุผลในการต่อต้านว่า เนื่องมาจากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างเด่นชัดในการสนับสนุน และการที่ออกมาร้องเรียนในครั้งนี้เพื่อเรียกร้องตำแหน่งกลับคืนพร้อมกับให้มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการ
แวนิตี้แฟร์รายงานว่า ดร.ไบรท์ ถูกบังคับให้ต้องใช้งบประมาณสำหรับการวิจัยในยาและวัคซีนที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์รับรอง เป็นเพราะคนที่ขายสิ่งเหล่านี้มีเพื่อนในรัฐบาลทรัมป์ และรวมไปถึงบุตรเขยผู้นำสหรัฐฯ จาเรด คุชเนอร์
แวนิตี้แฟร์รายงานว่า เขาถูกบังคับให้โยกงบเพื่อจัดซื้อยาสำหรับ การกักตุนแห่งชาติเชิงยุทธศาสตร์ SNS (Strategic National Stockpile) ที่อยู่ภายใต้กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์สหรัฐฯ ที่เป็นการเก็บกักตุนสิ่งจำเป็นสำหรับการช่วยชีวิตในด้านการรักษาโรค แต่แวนิตี้แฟร์ชี้ว่า แต่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานทางการแพทย์แต่เป็นด้านการเมืองและพวกพ้อง ซึ่งแวร์นิตีแฟร์กล่าวว่า รบ.ทรัมป์บังคับให้ดร.ไบรท์ต้องอนุมัติยาคลอโรควินและยังให้สัญญากับคนใกล้ชิดใน รบ.สหรัฐฯ
พบว่า การแนะนำอย่างกว้างขวางของทรัมป์ในการใช้ยาตัวนี้จนกระทั่งการศึกษาในการใช้ยาคลอโรควินกับอดีตทหารผ่านศึกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบว่า หลังจากใช้ยาแล้วกับพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตเป็น 2 เท่าของกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อที่ไม่ใช้ยาส่งผลทำให้ผู้นำสหรัฐฯต้องถอย และ ดร.ไบรท์ ได้ใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีภายในระบบเพื่อให้มีการใช้ยาคลอโรควินอย่างจำกัด และภายในสัปดาห์ที่มีการตีพิมพ์ผลการวิจัย ดร.ไบรท์ ถูกสั่งย้ายออกจากสำนักงาน BARDA และทำให้เขาตัดสินใจร้องเรียน