“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ไวรัสขยันกินคน! บุคลากรการแพทย์ขยันสู้กับโควิดฯ! แต่นักการเมืองบางคนขยันแย่งอำนาจ!
งานสยบ “โควิด-19” นั้น รัฐบาล “บิ๊กตู่” กับ “กลุ่มแพทย์” ระดับบริหาร ต้องขจัดปัญหาในมิติต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคในการต่อสู้กับ “โควิดฯ” ด้วยการนำชาติและประชาชน เดินไปบนหนทางที่ถูกต้อง เป้าหมายเพื่อควบคุมหรือสยบ “โควิดฯ” โดยเกิดความเสียหายต่อชาติและประชาชนน้อยที่สุด
ภารกิจเร่งด่วนอันดับหนึ่งในห้วงนี้ ของรัฐบาลทั่วโลก คือ ทำทุกวิถีทางในการป้องกันไม่ให้ “โควิดฯ” ทำความเสียหายในมิติต่างๆ โดยเฉพาะมิติการทำลายชีวิตมนุษย์ และเศรษฐกิจของชาติและประชาชนให้สูญเสียน้อยที่สุดนั่นเอง
ที่สำคัญมนุษยชาติทั่วโลก ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องทุ่มเทวิจัยค้นคว้าพัฒนา “ยา” และ “วัคซีน” ใช้รักษากับป้องกัน “ โควิดฯ” ให้ได้โดยเร็วที่สุด
นั่นเป็นความหวังอันสูงสุดในยามนี้ ของบรรดามวลมนุษย์ทุกหนแห่ง ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับ “โควิดฯ” เพื่อความอยู่รอดในโลกใบนี้
งานนี้..ไวรัส “โควิดฯ” ไม่แยแสสนใจว่า “มนุษย์” ที่อยู่ตรงหน้าทั้งหลายที่เป็นเหยื่อ จะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมการเมืองแบบใด? ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมประชาธิปไตยทุนสามานย์! ในสังคมเผด็จการรัฐประหารเพื่อทุนสามานย์! หรืออยู่ในสังคมเผด็จการเพื่อประชาชน! ฯลฯ
ทั้งนี้เพราะ “มนุษย์” ล้วนเป็น “เหยื่อ” ที่ “โควิดฯ” จะเข้าไปสวาปามอย่างเอร็ดอร่อย แถมใช้มนุษย์เป็นพาหะระบาดสู่ร่างกายมนุษย์ เป็นการ “ใช้มนุษย์-ฆ่ามนุษย์” เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ไวรัส ทั้งสายพันธุ์เก่า และอุบัติใหม่อย่าง “โควิด-19” และไวรัสกลายพันธุ์ทั้งหลายบนโลก
อันตรายของ “โควิดฯ” ที่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ “มหาเศรษฐี” ใหญ่น้อยทั่วโลก โดยเฉพาะมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก แม้จะยังคงกอบโกยเงินทองและผลประโยชน์ มุ่งทำกำไรสูงสุดทางธุรกิจให้ตัวและพวกพ้อง แต่เขาเหล่านั้นต่างก็รู้เป็นอย่างดีว่า แม้เงินทองจะเป็นสิ่งสำคัญ ทว่า..สุขภาพแข็งแรงเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น-สำคัญยิ่งกว่า!
ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือ แม้จะมีเงินทองมากมายล้นฟ้า แต่เงินทองก็ซื้อสุขภาพให้แข็งแรงเสมอไปไม่ได้.. เงินทองล้นฟ้าที่มหาเศรษฐีมี ไม่อาจซื้อชีวิตที่สูญไปจากโรคภัยให้กลับคืนมาได้..ดังเช่น..
“อันโตนิโอ ปิเออร่า” มหาเศรษฐีชาวโปรตุเกส ประธานธนาคารซานทานเดอร์ ที่เสียชีวิตด้วยไวรัสโคโรนา “ลูกสาว” ได้เขียนลงในโซเชียลว่า “เราเป็นครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่คุณพ่อได้เสียชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยว ในสภาพที่หายใจไม่ได้ เขาดิ้นรนหาของฟรี คือ อากาศ ในขณะที่เงินยังกองอยู่ในบ้าน”
มหาเศรษฐีของโลกหลายคน ได้ทุ่มเงินทองให้กับการช่วยเหลือคนยากจน และองค์กรทั้งหลายที่กำลังต่อสู้-ต่อต้าน-ปกป้อง-รักษาผู้ติดเชื้อ ฯลฯ ที่สำคัญ สนับสนุนบุคลากรวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งกำลังทำงานค้นคว้าวิจัย เพื่อหา “ยา” และ “วัคซีน” มาสยบ “โควิดฯ” กันอย่างจริงจังต่อเนื่องอยู่ในขณะนี้ เช่น
“เจฟฟ์ เบซอส” ผู้ก่อตั้ง “บริษัทแอมะซอน” บุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกได้บริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ “เครือข่ายธนาคารอาหารระดับประเทศ” นอกจากนี้ “แอมะซอน”ยังให้เงินอีก 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ “โครงการพัฒนาการวินิจฉัยเอดับเบิ้ลยูเอส” ซึ่งมุ่งพัฒนาให้ชุดทดสอบเชื้อ”โควิดฯ”ออกวางตลาดเร็วขึ้น
“แอมะซอน” ยังได้จ้างพนักงานเต็มเวลาและชั่วคราว เพิ่มขึ้นอีก 1 แสนคนทั่วสหรัฐอีกด้วย แต่หลายฝ่ายก็มองว่า นั่นเป็นเพราะความนิยมซื้อของออนไลน์ บนเว็บ “แอมะซอน” ได้เพิ่มมากขึ้น ในช่วงล็อคดาวน์รับมือไวรัสโคโรนา เพราะเมื่อเร็วๆนี้ สินทรัพย์ของ “เบซอส” เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย..
ส่วนมหาเศรษฐีอเมริกันอันดับสองของโลก อย่าง “บิล เกตส์” เจ้าของ “บริษัทไมโครซอฟต์” เมื่อประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศยุติการสนับสนุนงบประมาณ ให้กับ”องค์การอนามัยโลก”(WHO) จน “ทรัมป์” ถูกนานาชาติวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
“เกตส์” ในฐานะผู้ก่อตั้ง “มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์” ได้ประกาศสนับสนุนเงินเพิ่มให้ WHO ถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐทันที นับเป็นเงินมากเป็นอันดับสอง รองจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเลยล่ะ
เว็บไซต์ “มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์” ยังเผยว่า ได้ให้ทุนแก่ WHO รวมแล้วมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการรับมือกับ “โควิด-19” ทั้งนี้ทาง “มูลนิธิเกตส์” ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือทางด้านนวัตกรรม เพื่อรับมือโรคระบาด ที่มีจุดประสงค์ในการผลักดันให้คนเข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึง
กลุ่มที่ “มูลนิธิเกตส์” สนับสนุนนี้ กำลังทำการวิจัยคิดค้นวัคซีน สยบไวรัสโคโรนาอยู่ถึง 8 โครงการ โดยมีการทุ่มบริจาคเงินและสิ่งของหลากชนิด ช่วยในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับ “โควิดฯ” โดยเฉพาะทุ่มทุนวิจัยและสร้างโรงงานผลิตวัคซีนถึง 7 แห่งทั่วโลก มูลค่าร่วม 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วน “มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก” เจ้าพ่อ “เฟซบุ๊ก” ได้บริจาคเงิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ “มูลนิธิบิล เกตส์” และ “มูลนิธิเวลคัม ทรัสท์”(Wellcome Trust)ในอังกฤษ เพื่อสมทบทุนวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา
“แจ็ค ดอร์ซีย์” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหาร “ทวิตเตอร์” ได้ประกาศบริจาคเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ร้อยละ 28% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของเขา ให้เป็นกองทุนต่อสู้กับ “โควิดฯ” และหลังการระบาดใหญ่นี้สิ้นสุดลง เงินทุนก้อนนี้จะยังคงมุ่งช่วยเหลือด้านสุขภาพ และการศึกษาของผู้หญิง และผลักดันนโยบายประกันรายได้พื้นฐานให้ประชาชนอีกด้วย
นิตยสาร “ฟอร์บส” ได้รายงานถึงมหาเศรษฐีอันดับ 16 ของโลก “ไมเคิล บลูมเบิร์ก” เจ้าของ “บริษัทบลูมเบิร์ก แอล.พี.” ได้ริเริ่มโครงการมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการช่วยป้องกัน หรือชะลอการแพร่ระบาดของ “โควิดฯ” ในประเทศที่มีรายได้ระดับกลางและต่ำ นอกจากนี้ “มูลนิธิบลูมเบิร์กฟิแลนโทรฟิส์” ของเขา ยังทำงานร่วมกับ WHO อีกด้วย
โดย “บลูมเบิร์ก” ได้บริจาคเงิน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแจกหรือให้องค์กรไม่หวังผลกำไรในนิวยอร์คยืม โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอีกด้วย
ในขณะที่ “แจ็ค หม่า” ผู้ร่วมก่อตั้ง “อาลีบาบา กรุ๊ป” บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในเอเซีย ได้บริจาคเงิน 14.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนไวรัสโคโรนา
“แจ็ค หม่า” ยังได้บริจาคอุปกรณ์ตรวจเชื้อ 2 หมื่นชุด หน้ากากอนามัย 1 แสนชิ้น และชุดป้องกันโควิดอีก 1 พันชุด ให้แต่ละประเทศในแอฟริกา โดยก่อนหน้านี้ “แจ็ค หม่า” และ “มูลนิธิอาลีบาบา” ได้ประกาศส่งอุปกรณ์ตรวจเชื้อ 5 แสนชุด และหน้ากากอนามัยอีก 1 ล้านชิ้น ไปให้สหรัฐอเมริกาอีกด้วย
นอกจากนี้ “แจ็ค หม่า” ยังบอกว่า เขาได้ส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปให้ยุโรป รวมถึงประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี อิหร่าน สเปน รวมถึงประเทศไทย
โอ๊ย..เรื่องมหาเศรษฐีระดับโลกทั้งหลาย บริจาคเงินและสิ่งของ ช่วยเรื่อง “โควิดฯ” นั้น มีมากมายจนหน้ากระดาษนี้เขียนไม่หมดแน่นอน ส่วนบรรดามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยบนแผ่นดินไทย ทั้งที่ติดและไม่ติดอันดับโลก “นายกฯ บิ๊กตู่” ลงทุนเขียนจดหมายไปถึงนั้น จะบริจาคอะไรบ้างหาอ่านได้ไม่ยากนะครับ
เรื่องควบคุมหรือสยบ “โควิด-19” นั้น รัฐบาลและประชาชนทั่วโลกทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง รวมถึงรัฐบาล “บิ๊กตู่” และบุคลากรทางการแพทย์ ที่กำลังผนึกพลังกับประชาชนไทย ทำกันอย่างจริงจังอยู่ในขณะนี้
อ้าวเฮ้ย..แล้วไหง “นักการเมืองพรรครัฐบาล” ของ “นายกฯ บิ๊กตู่” ใยจึง “ฉลาดน้อย” จน “ไม่รู้กาลเทศะ” เพราะดันทะลึ่งจะเปลี่ยน “ม้ากลางศึกโควิด” เสียงั้นแหละ
“โควิดฯ” ยังฆ่าคนไทยตายอยู่แทบทุกวี่วัน..ยังเสือกมาแย่งอำนาจกันหน้าตาเฉยเหรอวะเนี่ย..?
เหลือเชื่อ!..ไวรัส “โควิดฯ” ยังไม่ร้าย..เท่า “นักการเมืองไทยบางคน” เลยนะเว้ยเฮ้ย..!!!