รอยเตอร์ - ตำรวจปราบจลาจลฮ่องกงยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วงที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในวันนี้ (12 พ.ย.) หลังเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บสาหัส และมีชายคนหนึ่งถูกจุดไฟเผาทั้งเป็น ซึ่งถือเป็นความรุนแรงล่าสุดในการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 เดือน ขณะที่สหรัฐฯ ออกมาวิจารณ์ “การใช้กำลังเพื่อมุ่งหมายเอาชีวิตอย่างไม่เหมาะสม” ในฮ่องกง พร้อมเรียกร้องให้ทั้งตำรวจและพลเรือนลดการเผชิญหน้า
รถไฟบางสายในฮ่องกงยังคงหยุดให้บริการ และมีการปิดถนนหลายสายทั่วเกาะศูนย์กลางการเงินแห่งนี้เป็นวันที่สอง ซึ่งทำให้การจราจรในช่วงเช้าติดขัดอย่างหนัก
ตำรวจปราบจลาจลลงพื้นที่คุ้มกันสถานีรถไฟใต้ดินทั่วเกาะ ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนมากต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะเดินทางไปทำงานให้ทัน แม้ว่าบริษัท MRT Corp จะแนะนำให้ผู้โดยสารหันไปใช้บริการขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นๆ บ้างก็ตาม
มหาวิทยาลัยและโรงเรียนหลายแห่งยังคงปิดการเรียนการสอน โดยนักเรียน ครูบาอาจารย์ และผู้ปกครองต่างวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัย หลังจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่นักศึกษาที่ขว้างปาระเบิดน้ำมันใส่เจ้าหน้าที่ในสถานศึกษาบางแห่ง
แคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ออกมาประณามผู้ประท้วงที่พยายามปิดเมืองให้เป็นอัมพาตว่าเป็นพวกที่ “เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง” และเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยและโรงเรียนช่วยตักเตือนนักศึกษาไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุม
เฉพาะวันจันทร์ (11) วันเดียวมีผู้ประท้วงถูกจับแล้วไม่ต่ำกว่า 260 คน ซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ถูกจับกุมทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3,000 คนในเหตุประท้วงฮ่องกงที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย.
สถานีรถไฟใต้ดินไซวานโฮ (Sai Wan Ho) ซึ่งเป็นจุดที่นักศึกษาวัย 21 ปีถูกตำรวจยิงในระยะเผาขนเมื่อวานนี้ (11) เป็นอีกแห่งที่ยังคงปิดให้บริการ ขณะที่ทางการส่งรถบรรทุกน้ำพร้อมหัวฉีดแรงดันสูงไปประจำที่ด้านนอกศูนย์บัญชาการของรัฐ ซึ่งจะมีการประชุมสภาผู้บริหารประจำสัปดาห์
นาง ลัม ระบุวานนี้ (11) ว่า เวลานี้ผู้ประท้วงใช้ความรุนแรงเกินเลยไปกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตย และกำลังทำตัว “เป็นศัตรูกับประชาชน”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์วานนี้ (11) ว่า “ตำรวจฮ่องกงและพลเรือนต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องลดการเผชิญหน้า และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง” ขณะที่ มอร์แกน ออร์เตกัส โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็เรียกร้องให้ปักกิ่งเคารพคำมั่นสัญญาที่ว่าจะอนุญาตให้ฮ่องกง “มีอำนาจปกครองตนเองขั้นสูง และพลเมืองมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสันติอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน”
ฮ่องกงเป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษถูกส่งคืนให้แก่จีนในปี 1997 ภายใต้คำสัญญาของปักกิ่งว่าจะใช้สูตรการปกครอง “หนึ่งประเทศ-สองระบบ” เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวฮ่องกงได้มีสิทธิและเสรีภาพในหลายๆ ด้านซึ่งแตกต่างจากชาวจีนบนแผ่นดินใหญ่
ออร์เตกัส ชี้ว่าสหรัฐฯ เฝ้าจับตาสถานการณ์ในฮ่องกง “ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง” และขอประณามทุกฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง
“สหรัฐฯ ขอเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารฮ่องกงสานต่อการเจรจาพูดคุยกับสาธารณชน และพยายามแก้ไขข้อกังวลต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการชุมนุมประท้วง ขณะเดียวกันก็ขอให้ฝ่ายผู้ประท้วงตอบสนองความพยายามเจรจานี้ด้วย” เธอกล่าว
