เอเจนซีส์ - เจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ ให้สัมภาษณ์ทางทีวีชี้ โดนัลด์ ทรัมป์ “ขาดความเหมาะสมทางศีลธรรม” สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นบุคคลอันตรายที่จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อบรรทัดฐานด้านสถาบันและวัฒนธรรม
โคมีย์ที่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์ปลดจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ยังแสดงความกังวลว่า ประมุขทำเนียบขาวอาจตกเป็นเหยื่อการแบล็กเมล์ของรัฐบาลรัสเซียเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า ทรัมป์มั่วกับเหล่าโสเภณีระหว่างเดินทางไปมอสโกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ โคมีย์ถูกปลดจากตำแหน่งขณะที่เอฟบีไอกำลังตรวจสอบความเป็นไปที่ทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์อาจสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ซึ่งทรัมป์เป็นผู้ชนะ โดยที่รัสเซียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาตลอด เช่นเดียวกับทรัมป์ที่ยืนยันว่าไม่มีการคบคิดหรือดำเนินการใดๆ ที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์รายการ “20/20” พิเศษ ของเอบีซี นิวส์ ซึ่งนำออกมาแพร่ภาพเมื่อวันอาทิตย์ (15 เม.ย.) โคมีย์บอกว่า เป็นไปได้ที่รัสเซียอาจมีหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาทรัมป์ยุ่งเกี่ยวกับโสเภณีระหว่างเดินทางไปมอสโกในปี 2013 แม้ทรัมป์บอกกับตนว่า ไม่เคยค้างคืนในโรงแรมที่มอสโกและยืนยันว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริงก็ตาม
“คนที่พูดถึงและปฏิบัติต่อผู้หญิงราวกับเป็นแค่เศษเนื้อ คนที่โกหกเป็นนิจศีลและยืนยันว่า คนอเมริกันเชื่อคำโกหกเหล่านั้น คนแบบนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในแง่ศีลธรรม” โคมีย์พูดชัดเจน
กำหนดการวางแผงหนังสือเรื่อง “อะ ไฮเออร์ ลอยัลตี้” ของโคมีย์ในวันอังคาร (17) นี้ รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ล่าสุดในครั้งนี้ของอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอผู้นี้ ทำให้ทรัมป์นั่งไม่ติดต้องลุกขึ้นมาทวิตชุดใหญ่โจมตีโคมีย์เมื่อวันอาทิตย์ (15) โดยท้าทายทั้งข้อกล่าวหาในหนังสือ และยืนกรานว่า ไม่เคยขอให้โคมีย์จงรักภักดีต่อตนเอง
“เจมส์ โคมีย์ จอมปลิ้นปล้อน จะต้องถูกจารึกว่า เป็นผู้อำนวยการเอฟบีไอที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์” นี่เป็น 1 ใน 5 ข้อความโจมตีโคมีย์ตรงๆในทวิตเตอร์ของทรัมป์เมื่อเช้าวันอาทิตย์
ด้านโคมีย์เปิดเผยในรายการของเอบีซี นิวส์ว่า ชื่อหนังสือเรื่อง “อะ ไฮเออร์ ลอยัลตี้” (ความจงรักภักดีที่สูงกว่า) มาจาก “การสนทนาพิลึกพิลั่น” กับทรัมป์ในทำเนียบขาวเมื่อเดือนมกราคม 2017 หรือหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน
“เขาขอให้ผมจงรักภักดีต่อเขา แต่ในฐานะผู้อำนวยการเอฟบีไอ ความจงรักภักดีของผมต้องมอบให้ประชาชนและสถาบันของอเมริกา” โคมีย์ให้สัมภาษณ์
ในหนังสือที่กำลังจะวางแผงเล่มนี้ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอผู้นี้แฉว่า ทรัมป์ไม่แตกต่างจากหัวหน้ามาเฟียที่คดโกงและทำทุกสิ่งด้วยความเย่อหยิ่งยะโสของตัวเอง
กระนั้น เขาบอกกับเอบีซี นิวส์ว่า ไม่คิดว่ารัฐสภาควรดำเนินการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง แต่ควรปล่อยให้คนอเมริกันตัดสินใจเองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปในปี 2020
ปัจจุบัน โคมีย์ถือเป็นพยานปากสำคัญในการสอบสวนของโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษทางกฎหมาย หรือก็คืออัยการพิเศษของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กรณีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจพยายามขัดขวางกระบวนการสอบสวนในคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง
เกี่ยวกับประเด็นนี้ โคมีย์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเชื่อว่า อาจมีหลักฐานบางอย่างที่ยืนยันการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม เมื่อตอนที่ทรัมป์ขอให้เขายุติการสอบสวนไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ทั้งทรัมป์และผู้ช่วยต่างพยายามตอบโต้โคมีย์ โดยการโจมตีกลับเรื่องการสอบสวนของเอฟบีไอกรณีที่ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ใช้อีเมลส่วนตัวขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน
ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุด โคมีย์ยอมรับว่า ความเชื่อที่ว่า คลินตันจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจรื้อฟื้นการสอบสวนกรณีอีเมลดังกล่าวก่อนการเลือกตั้งเพียง 11 วัน เพื่อที่ว่า คลินตันจะมีความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งหากได้รับชัยชนะ แต่กลับกลายเป็นว่า ตนถูกอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้นี้โจมตีว่า เป็นต้นเหตุทำให้แพ้การเลือกตั้ง
วันเดียวกันนั้น พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรครีพับลิกัน ยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ "มีต เดอะ เพรสส์” ของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีว่า เท่าที่รู้โคมีย์เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แต่สำทับว่า ไม่ได้รู้จักอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอผู้นี้มากนัก
ทว่า รอนนา แมคแดเนียล ประธานคณะกรรมการแห่งชาติรีพับลิกัน แถลงว่า การให้สัมภาษณ์ล่าสุดของโคมีย์ตอกย้ำว่า เจ้าตัวไม่มีความน่าเชื่อถือ และทรัมป์ทำถูกแล้วที่ปลดออกจากเอฟบีไอ
ด้านซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวแสดงความเห็นผ่านรายการ “ดีส วีก” ของเอบีซี โดยย้ำข้อกล่าวหาของทรัมป์ซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์ที่ว่า โคมีย์เป็นคนปล่อยข่าวต่างๆ และให้การเท็จต่อรัฐสภา