รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แสดงอาการโกรธกริ้วผ่านทางทวิตเตอร์ในตอนเช้าตรู่วันพฤหัสบดี (15 มิ.ย.) ภายหลังปรากฏรายงานข่าวที่ว่า โรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษากฎหมายพิเศษของกระทรวงยุติธรรมซึ่งกำกับดูแลการสอบสวนคดีรัสเซียวุ่นเลือกตั้งอเมริกัน กำลังพุ่งเป้าตรวจสอบประมุขทำเนียบขาวว่ามีพฤติกรรมที่เข้าข่าย “ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม” หรือไม่
“พวกเขากุเรื่องเท็จเกี่ยวกับการสมคบคิดกับพวกรัสเซียขึ้นมา ไม่พบข้อพิสูจน์ใดๆ เลย ดังนั้นตอนนี้พวกเขาก็เดินหน้าว่าขัดขวางความยุติธรรมในเรื่องเท็จที่พวกเขากุขึ้น ช่างเก่งจริง” ทรัมป์เขียนเช่นนี้ทางทวิตเตอร์
ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานในฉบับวันพุธ (14) โดยอ้างเจ้าหน้าที่หลายรายที่มิได้มีการระบุชื่อ กล่าวว่ามูลเลอร์กำลังสอบสวนประเด็นที่ทรัมป์อาจมีพฤติการณ์ขัดขวางความยุติธรรม
มุลเลอร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ระหว่างปี 2001-2013 กำลังเป็นหัวหน้าทีม เข้ามาดูแลการสอบสวนเรื่องที่รัสเซียอาจสมคบคิดกับทีมงาน ทรัมป์ แกว่งผลเลือกตั้ง หลังได้รับแต่งตั้งจาก ร็อด โรเซนสไตน์ รัฐมนตรีช่วยยุติธรรมซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลเอฟบีไออยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เจมส์ โคมีย์ อดีต ผอ.เอฟบีไอคนล่าสุด ก็ได้ให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทรัมป์ ตั้งใจปลดตนออกจากตำแหน่งเพื่อขัดขวางการตรวจสอบของเอฟบีไอ
ข่าวของวอชิงตันโพสต์ในวันพุธ (14) อ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม 5 คน ซึ่งระบุว่า แดน โคตส์ ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ, ไมค์ โรเจอร์ส ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) และ ริชาร์ด เลดเจ็ตต์ อดีตรองผู้อำนวยการเอ็นเอสเอ จะเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนของ มุลเลอร์ ภายในสัปดาห์นี้เป็นอย่างเร็ว
แหล่งข่าวใกล้ชิดบอกกับโพสต์ว่า การตรวจสอบ ทรัมป์ เริ่มขึ้น “เพียงไม่กี่วัน” หลังจากที่เขาสั่งปลด โคมีย์ เมื่อวันที่ 9 พ.ค.
อย่างไรก็ตาม ทางด้านทีมกฎหมายของผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาปฏิเสธรายงานฉบับนี้อย่างแข็งขันเมื่อวันพุธ (14) โดย มาร์ก โคแรลโล โฆษกทีมกฎหมายของทรัมป์ ชี้ว่า “การที่เอฟบีไอเผยแพร่ข้อมูลพาดพิงถึงประธานาธิบดีเช่นนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ อภัยไม่ได้ และผิดกฎหมายด้วย”
ขณะที่โฆษกทีมงานมุลเลอร์ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้
โคมีย์ นั้นให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาว่า ทรัมป์ เคยเรียกร้องขอ “ความซื่อสัตย์ภักดี” จากตน และกดดันให้ตนเลิกตรวจสอบ ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกฎหมายหลายคนยอมรับว่า นี่อาจจะเป็นเหตุให้ ทรัมป์ ถูกกล่าวโทษว่ากระทำความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นความผิดอาญาร้ายแรง
โคมีย์ ปฏิเสธที่จะฟันธงว่าผู้นำสหรัฐฯ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ โดยยกให้เป็นหน้าที่ของ มุลเลอร์ ในการพิจารณา แต่ยอมรับว่าตนเคยกล่าวยืนยันกับ ทรัมป์ ถึง 3 ครั้งว่าเขาไม่ได้ถูกเอฟบีไอตรวจสอบ ซึ่ง ทรัมป์ ก็ได้นำคำพูดนี้มาเป็นข้ออ้างว่าตนเอง “ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ผิด”
แม้ประธานาธิบดีในตำแหน่ง ไม่น่าที่จะถูกฟ้องร้องคดีอาญา แต่ข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรมถือเป็นความผิดร้ายแรงที่อาจถูกใช้เป็นพื้นฐานในการยื่นเสนอให้รัฐสภาดำเนินการถอดถอนได้ ถึงแม้ในกรณีของ ทรัมป์ คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในเมื่อจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบว่าควรพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดี จากนั้นก็ต้องให้วุฒิสภาลงมติถอดถอนด้วยคะแนนสองในสาม ทว่าเวลานี้พรรครีพับลิกันของทรัมป์ครองเสียงข้างมากในทั้งสองสภา