xs
xsm
sm
md
lg

InClip :อึ้งทั้งโลก!! ทีมหาเสียงทรัมป์จ้างบ.วิจัยการเมือง “เคมบริดจ์ แอนนาไลติกา” ใช้ข้อมูลยูสเซอร์เฟซบุ๊กหลายสิบล้าน เอียงผลการเลือกตั้งให้ชนะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – อเล็กซานเดอร์ นิกซ์(Alexander Nix)ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาทางการเมือง เคมบริดจ์ แอนนาไลติกา(Cambridge Analytica) ถูกสถานีโทรทัศน์อังกฤษแฉ อยู่เบื้องหลังใช้ข้อมูยูสเซอร์เฟซบุ๊กร่วมหลายสิบล้าน ส่งให้โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าทำเนียบขาวปี 2016 แต่ อเล็กซานดร์ โคแกน(Aleksandr Kogan) นักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เบื้องหลังโอด ผมตกเป็นแพะรับบาปทางการเมือง พบลูกเขยทรัมป์ จาเรด คุชเนอร์ อดีตผู้จัดการหาเสียง พอล มานาฟอร์ต เป็นตัวการว่าจ้าง ส่วนสตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษานั่งเป็นรองประธานบริษัท

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(20 มี.ค)ว่า กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกเมื่อพบว่า บริษัทที่ปรึกษาทางการเมือง เคมบริดจ์ อนาไลติกา (Cambridge Analytica) ยอมรับว่า บริษัทมีส่วนทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำสหรัฐฯในปี 2016 สามารถเอาชนะฮิลลารี คลินตันจากพรรคเดโมแครตสำเร็จ

“เราแค่เอาข้อมูลใส่เข้าไปในระบบสายเลือดของอินเตอร์เนต และเฝ้ามองการเติบโตของมัน และแค่ปั่นเล็กน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และดูว่ามันจะเปลี่ยนรูปไปในทิศทางไหน” ผู้บริหารบริษัทวิจัยข้อมูลทางการเมือง อเล็กซานเดอร์ นิกซ์(Alexander Nix)เปิดเผย

และเขากล่าวต่อว่า “และดังนั้นสิ่งนี้ได้แฝงเข้าไปในสังคมโลกออนไลน์ แต่ไม่มีการปิดป้ายบอก จึงบอกไม่ได้ และหาต้นตอไม่พบ”

ในการเปิดเผยจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ ทีมข่าวแฝงตัวในคราบนักการเมืองจากศรีลังกาแอบติดกล้องโทรทัศน์บันทึกการออกมายอมรับของนิกซ์

ซึ่งเดอะการ์เดียนชี้ว่า บรรดาผู้บริหาระดับสูงของทางบริษัทเหมือนจะกล่าวเป็นนัยว่า พวกเขาทำงานให้กับลูกค้าอเมริกัน ซึ่งได้มีการวางแผนในการแบ่งการทำงานระหว่างทีมหาเสียงเป็นทางการ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง

ซึ่งนั่นอาจถูกชี้ว่าเป็นการร่วมมือกัน สื่ออังกฤษให้ความเห็น และชี้ว่า แต่เป็นสิ่งผิดกฎหมายการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามทางบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกายืนยันว่า “ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”

ในการเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์(18) สื่อเดอะออฟเซิร์ฟเวอร์รายงานว่า พบว่า บริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งนี้ ได้เข้าถึงข้อมูลความลับส่วนบุคคลยูสเซอร์เฟซบุ๊กหลายสิบล้าน “อย่างผิดกฎหมาย” เพื่อใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการวิจัยเพื่อเป้าหมายทางการเมืองผ่านระบบที่ทางเคมบริดจ์ แอนนาไลติกาได้สร้างขึ้น

และล่าสุดวันอังคาร(20)จากการเปิดเผยของสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเดอะออฟเซิร์ฟเวอร์ นิกซ์ซีอีโอใหญ่อ้างว่า ***เขามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในการทำงานร่วมกับทรัมป์ และอ้างว่าบริษัทของเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญหาเสียงที่ทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง***

“เราทำการวิจัยทุกอย่าง ทุกข้อมูล การวิเคราะห์ทุกประเภท และทุกเป้าหมาย เราทำแคมเปญผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกทุกประเภท ทั้งแคมเปญทางอิเล็กทรอนิก แคมเปญทางโทรทัศน์ และข้อมูลของเราได้ตอบสนองต่อทุกยุทธศาสตร์” อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์อังกฤษที่แฝงตัวเป็นลูกค้าคนสำคัญจากศรีลังกาที่ต้องการหาวิธีชนะการเลือกตั้งในศรีลังกา

ด้านหัวหน้าแผนกข้อมูลของบริษัท อเล็กซ์ เทย์เลอร์(Alex Tayler) กล่าวเสริมว่า “เมื่อคุณพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ แพ้การเลือกตั้งแบบป็อปปูลาร์โหวต (popular vote) ไป 3 ล้านเสียง แต่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งในส่วนคณะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง(electoral college vote) สิ่งนั้นล้วนมาจากข้อมูลและการวิจัยทั้งนั้น”
.
“คุณทำการหาเสียงในพื้นที่เป้าหมายที่ในพื้นที่เหมาะสม และคุณเคลื่อนย้ายคนไปยังบรรดารัฐสวิงสเตทที่สำคัญ (รัฐที่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงในการออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ตั้งตัวว่าเป็นรัฐบลูสเตทของพรรคเดโมแครต เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย หรือรัฐเรดสเตทของพรรครรพับลิกัน เช่น รัฐเทกซัส) ในวันเลือกตั้ง และนี่เป็นสิ่งตัดสินทำให้เขาชนะการเลือกตั้ง”

ซึ่งมาร์ค เทิร์นบูล( Mark Turnbull)ผู้อำนวยการบริหารบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกาแผนกการเมืองกล่าวชื่นชมไปถึง กลุ่มซูปเปอร์แพคของพรรครีพับลิกันชื่อ ทำให้อเมริกาเป็นที่1 (Make America Number 1.) ที่ทำแคมเปญรณรงค์สุดอื้อฉาวและเป็นที่รู้จักไปทั่ว

“ภายใต้สโลแกน เอาชนะขี้โกงฮิลลารี ซึ่งพวกคุณสามารถจดจำได้อย่างดีแน่นอน” เทิร์นบูลกล่าว และเสริมต่อว่า “ตัวเลขศูนย์ 00ของขี้โกงคือกุญแจมือ...ซึ่งทางเราได้สร้างจำนวนร่วมหลายร้อยที่ต่างกันไป และทำให้มันเผยแพร่บนอินเตอร์เนต”

นอกจากนี้ ภายใต้การเปิดเผยพบว่าบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา ใช้องค์กรอื่นบังหน้า เป็นต้นว่า มูลนิธิการกุศล และกลุ่มเคลื่อนไหว โดยที่ต้องการให้บริษัทปรากฎการทำงานแค่เบื้องหลัง

และเมื่อนักข่าวสถานีโทรทัศน์อังกฤษกล่าวแสดงความกังวลว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯอาจตรวจพบถึงข้อมูลการแคมเปญหาเสียงสกปรก แต่ผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางการเมือง นิกซ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า เขาเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯไม่มีอำนาจทางกระบวนการทางยุติธรรมต่อเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา ถึงแม้ว่าบริษัทแห่งนี้จะจดทะเบียนในรัฐเดลาแวร์ และเป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐฯก็ตาม

“ผมเชื่อมั่นว่าเขาไม่มีอำนาจในทางกระบวนการทางยุติธรรม” อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ กล่าวอย่างมั่นใจ และเสริมว่า “ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯมาเพื่อสอบถามข้อมูล พวกเขาเพียงแค่ปฎิเสธที่จะให้ความร่วมมือ โดยกล่าวว่า มันไม่ใช้ธุระของพวกคุณ”

และเทิร์นบูลได้ตอกย้ำให้ลูกค้านักการเมืองศรีลังการายนี้สบายใจว่า “เราไม่พูดถึงลูกค้าของเราอย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ในการให้ความเห็นกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 ของอังกฤษก่อนที่จะดูรายงานเชิงสอบสวนขุดคุ้ยเบื้องหลังบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา

ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งทรัมป์จากพรรคเดโมแครตกล่าวว่า

“มีการหาเสียงแบบใหม่ ที่มีการทำออกมาในรูปแบบที่เจาะจงไปยังฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งไม่เคยมีใครพบมาก่อน เพราะนี่มันไม่ใช่แค่เกี่ยวกับตัวดิฉัน แต่มันเป็นการกดผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวโน้มว่าจะลงคะแนนให้ดิฉัน...เมื่อคุณได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้ผู้คนคิดได้ เป็นเพราะพวกเขาได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จจำนวนมาก”

ซึ่งในรายงาน ดูเหมือนนิกซ์จะกล่าวเป็นนัยว่า เขาสามารถชักจูงเจ้าหน้าที่ได้ด้วยการปกปิดข้อมูล และไม่กล่าวถึง

ด้านนักวิชาการที่อยู่เบื้องหลังการวิจัยข้อมูลความลับส่วนตัวยูสเซอร์เฟซบุ๊ก 30 ล้าน อเล็กซานดร์ โคแกน(Aleksandr Kogan) นักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประจำแผนกจิตวิทยาที่เกิดในมอลโดวา ยุโรปตะวันออก อ้างว่า เขาตกเป็นแพะรับบาปอย่างไม่ยุติธรรมต่อเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น

เดอะการ์เดียนชี้ว่า นักวิจัยรายนี้ได้พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาในการวิจัยข้อมูลส่วนบุคคลของยูสเซอร์เฟซบุ๊กหลายล้าน และส่งต่อข้อมูลวิเคราะห์ที่ได้ไปให้กับบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา ซึ่งทางบริษัทได้ยืนยันกับโคแกนว่า “ถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน”

ซึ่งคริสโตเฟอร์ วายลี( Christopher Wylie)ผู้เปิดเผยความลับจากเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา กล่าวกับเดอะออฟเซิร์ฟเวอร์ว่า ข้อมูลที่ทางโคแกนได้รับถูกใช้ให้มีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่เป็นข้อกล่าวหาที่ทางบริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองปฎิเสธ

โคแกนกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ “รายการวันนี้” ของสถานีวิทยุบีบีซี 4 วันพุธ( 21)ยืนยันว่า “จากความเห็นของผม ผมคิดว่าผมถูกใช้เป็นแพะรับบาปจากทั้งแฟซบุ๊กและบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา ซึ่งในความสัตย์จริง พวกเราต่างคิดว่าเราได้กระทำอย่างเหมาะสมดีที่สุดแล้ว พวกเราคิดว่าพวกเราทำในสิ่งที่ปกติมากที่สุด”

ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทเฟซบุ๊กได้ระงับการให้บริการแก่บริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โคแกน ซึ่งเป็นการสั่งระงับในระหว่างการสอบสวนถึงการใช้ข้อมูลอย่างไม่เหมาะสม โดยทางเฟซบุ๊กชี้ว่า โคแกนละเมิดนโยบายของบริษัทด้วยการส่งต่อข้อมูลจากโปรแกรมที่โคแกนสามารถรวบรวมได้ไปให้กับทางเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา

ทางเฟซบุ๊กกล่าวว่า อเล็กซานดร์ โคแกนได้เคยให้คำมั่นกับทางบริษัทว่า ข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า

โคแกนอ้างต่อว่า ไม่เป็นความจริงที่เขาเสนอแนวความคิดในการใช้ข้อมูลยูสเซอร์เฟสบุ๊กให้กับบริษัทก่อน แต่เป็นทางเคมบริดจ์ แอนนาไลติกาได้เสนอสิ่งนี้ และพร้อมให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่เขา โคแกนกล่าวว่า “ทางบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกาได้จ่ายถึง800,000 ดอลาร์ เพื่อจ้าง 200,000 คนในการใช้มัน” และอ้างต่อว่า เขาไม่เคยได้รับประโยชน์จากเงินก้อนนี้ ที่ส่วนใหญ่จ่ายออกไปสำหรับผู้เข้าร่วม ซึ่งแต่ละคนได้รับราว 3 ดอลลาร์ ถึง 4 ดอลลาร์

นักวิจัยประจำแผนกจิตวิทยามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อ้างว่า เขาได้รับการยืนยันว่า วิธีแนวทางของบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกานั้นถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยอมรับว่าเขาควรสอบถามถึงด้านจริยธรรมด้วย แต่ทว่านักแฉภายในองค์กร อดีตพนักงานชาวแคนาดา วายลี กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ***ข้อมูลความลับส่วนบุคคลของยูสเซอร์ที่ได้มาเป็นการได้มาอย่างไม่ได้รับอนุญาต*** ซึ่งทางเคมบริดจ์ แอนนาไลติกาได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อสร้างโปรแกรมในการเพื่อคาดการณ์และชี้นำการเลือกภายในคูหาเลือกตั้ง

แต่โคแกนผู้อยู่เบื้องหลังการวิเคราะห์ยืนยันว่า เขาไม่ทราบเลยว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้อย่างไร และจะรู้สึกผิดเป็นเป็นอย่างมากหากเป็นความจริงที่ว่า ข้อมูลถูกนำไปเพื่อชี้นำการเลือกตั้ง

เดอะการ์เดียนรายงานว่า ในวันอังคาร(20) สื่อออนไลน์ทางการเมืองสหรัฐฯ โพลิติโก รายงานว่า ทีมหาเสียงทรัมป์ 2020 นั้นดูเหมือนถอยห่างจากบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา โดยเจ้าหน้าที่ทีมหาเสียงกล่าวว่า ไม่มีการติดต่อกับบริษัทนี้ และไม่มีแผนที่จะจ้างบริษัทแห่งนี้ในอนาคต

ด้านสื่อ CNN ของสหรัฐฯรายงานว่า สตีฟ แบนนอน อดีตที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ประจำตัวผู้นำสหรัฐฯ ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานและเลขาธิการของบริษัทเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา ก่อนที่จะลาออกเพื่อร่วมงานทีมหาเสียงของทรัมป์ในเดือนสิงหาคม 2016 อ้างอิงจาก วายลี อดีตพนักงานบริษัทแห่งนี้ที่ได้ให้ข้อมูลแก่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันอังคาร(20)

วายลีกล่าวให้ข้อมูลว่า ทางบริษัทใช้เกือบ 1 ล้านดอลลาร์สำหรับข้อมูลในปี 2014 ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลของยูสเซอร์บนเฟซบุ๊ก และงบจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติจากสตีฟ แบนนอน

เขายังยืนยันว่า แบนนอนนั้นเป็นเจ้านายของอเล็กซานเดอร์ นิกซ์ และชี้ว่า นิกซ์ไม่มีอำนาจที่จะสามารถอนุมัติการใช้เงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้นได้ โดยพบว่าวาทะเด็ดจากช่วงหาเสียงของทรัมป์เป็นต้นว่า “ล้างน้ำเน่าทางการเมือง” หรือ "drain the swamp” เป็นสิ่งที่ทางบริษัททดสอบหลายครั้งเพื่อจุดประสงค์จูงใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

นอกจากนี้สถานีโทรทัศน์สหรัฐฯ MSNBC ยังรายงานว่า ลูกเขยทรัมป์ จาเรด คุชเนอร์ และอดีตผู้จัดการทีมหาเสียง พอล มานาฟอร์ต อยู่ในกระบวนการจ้างบริษัทแห่งนี้ในช่วงการหารเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ







คริสโตเฟอร์ วายลี( Christopher Wylie)อดีผู้เปิดเผยความลับตพนักงานชาวแคนาดา จากเคมบริดจ์ แอนนาไลติกา


กำลังโหลดความคิดเห็น