รอยเตอร์ - รัฐบาลไต้หวันกล่าวหาจีนว่าแสดงพฤติกรรมข่มขู่ผ่านสื่อ หลังจากหนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนฉบับหนึ่งเรียกร้องให้ปักกิ่ง “ออกหมายจับสากล” ล่าตัวนายกรัฐมนตรีไต้หวันมาดำเนินคดี ฐานใช้คำพูดที่แสดงถึงเจตนาแยกตัวเป็นเอกราช
สถานะของไต้หวันนับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุดสำหรับจีน ซึ่งถือว่าเกาะแห่งนี้เป็น “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” และไม่ปฏิเสธเรื่องการใช้กำลังทหารเพื่อรวมเกาะไต้หวันกลับคืนสู่การปกครองของจีนในอนาคต
จีนเริ่มใช้นโยบายแข็งกร้าวต่อไต้หวันมากขึ้นหลังการรับตำแหน่งประธานาธิบดีของ ไช่ อิงเหวิน หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเมื่อปี 2016 โดยปักกิ่งนั้นระแวงว่า ไช่ จะผลักดันไต้หวันให้แยกตัวเป็นเอกราชจากจีนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะถือเป็นการ “ล้ำเส้น” ขณะที่ ไช่ เองยืนยันว่าต้องการคงไว้ซึ่งสถานะปัจจุบัน (status quo) และรักษาสันติภาพกับแผ่นดินใหญ่
นายกรัฐมนตรี วิลเลียม ไหล ของไต้หวัน ได้กล่าวต่อรัฐสภาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (30 มี.ค.) ว่า ตนคือ “คนทำงานเพื่อเอกราชของไต้หวัน” (Taiwan independence worker) และยึดถือมาโดยตลอดว่าไต้หวันเป็นประเทศอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน หนังสือพิมพ์โกลบัลไทม์สซึ่งเป็นสื่อแท็บลอยด์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ออกมาเรียกร้องให้นำตัว ไหล มาดำเนินคดี ฐานฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนจีนปี 2005
“หากอาชญากรรมที่เขาก่อมีหลักฐานชัดเจน เราก็มีสิทธิ์ขอออกหมายจับสากลได้” โกลบัลไทม์สซึ่งเป็นสื่อในเครือเดียวกับหนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี ระบุเมื่อวันเสาร์ (31)
เมื่อค่ำวานนี้ (2 เม.ย.) สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนก็เข้ามาผสมโรง โดยเตือนว่าคำพูดที่ “อันตรายและอวดดี” ของ ไหล จะทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน และไทเปไม่มีวันแยกตัวเป็นอิสระจากจีนได้
ด้านสภากิจการแผ่นดินใหญ่ของไต้หวันก็ออกมาตอบโต้เช่นกัน โดยระบุว่าสิ่งที่โกลบัลไทม์สและรัฐบาลจีนพูดนั้นถือเป็นการ “ข่มขู่ที่ไร้เหตุผล”
“ไต้หวันเป็นสังคมพหุนิยมและยึดหลักประชาธิปไตย” สภาฯ ระบุ พร้อมยืนยันว่าจุดยืนของ ไหล สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดี ไช่ ที่ต้องการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
“จีนมักจะใช้สื่อมวลชนและสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต’ เป็นเครื่องมือข่มขู่กดดันรัฐบาลและประชาชนชาวไต้หวัน อีกทั้งพยายามใช้กำลังทหารและกฎหมายมาข่มขู่เพื่อละเมิดศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของเรา”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีความรับผิดชอบควรจะทำ เพราะจะยิ่งเพิ่มความเป็นปรปักษ์ และทำลายความสัมพันธ์”
“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของเราไม่เคยคิดว่าจีนเป็นศัตรู... แต่จีนแผ่นดินใหญ่ต้องยอมรับความจริงว่าเราต่างก็มีรัฐบาลปกครองแยกกัน และขอให้เคารพความเป็นประชาธิปไตยและเจตนารมณ์ของประชาชนชาวไต้หวัน”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเอ่ยเตือนไต้หวันเมื่อเดือนที่แล้วว่าจะต้องเผชิญ “โทษทัณฑ์ทางประวัติศาสตร์” (punishment of history) หากพยายามแยกตัวเป็นเอกราชจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนับเป็นคำเตือนที่แข็งกร้าวที่สุดที่ผู้นำจีนรายนี้เคยกล่าวมา