MGR Online - การเปิดการประชุมสองสภาฯ จีนวันที่ 3 - 15 มีนาคมนี้ กลายเป็นวาระโด่งดังทั่วโลกตั้งแต่ยังไม่ประชุม เมื่อสำนักข่าวซินหวา สื่อทางการจีน ได้เผยแพร่ข่าว ข้อเสนอต่างๆ ของคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ข้อเสนอสำคัญยิ่งข้อหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เลิกข้อจำกัดสมัยการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยระบุไว้ว่า การดำรงตำแหน่งของประมุขแห่งรัฐ จำกัดการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอย่างต่อเนื่องไม่เกินสองสมัย (สมัยละ 5 ปี) การตัดออกจากรัฐธรรมนูญ มีผลให้ “ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี” ดำรงตำแหน่งได้เกินสองสมัยได้โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญอีกต่อไป เท่ากับเปิดทางให้ หลังจากปี พ.ศ.2566 ที่สิ้นสุดตำแหน่งสมัยที่สอง นาย สี จิ้นผิง ยังครองตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ต่อไปได้เป็นสมัยที่สาม - สี่ - ห้า และตลอดไป ตราบเท่าที่เขาจะรักษาดุลอำนาจตนเองได้ นอกจากจะเป็นผู้นำจีนฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในพ.ศ. 2566 ยังอาจจะอยู่ถึงฉลอง 100 ปี สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในพ.ศ.2592 ซึ่งตอนนั้น สี จิ้นผิงจะมีอายุ 96 ปี
สี จิ้นผิง จะมีอายุ 69 ปี ในวาระสิ้นการดำรงตำแหน่งสมัยที่สอง ในปี พ.ศ.2566 ตอนนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ที่มีอายุครบ 68 ปีขึ้นไป คงต่างเกษียณอายุ แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็เริ่มสังเกตว่า ไม่มีใครชัดเจนที่จะมีบารมีพอจะขึ้นมาเป็นทายาทการเมืองของสี จิ้นผิง แม้จะมีการวิเคราะห์คาดเดาบุคคลต่างๆ ก็ตาม
เมื่อการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำปี 2560 ในเดือนตุลาคมเสร็จสิ้นลง สำนักข่าวซินหวาของจีนรายงานเปิดเผยรายนามคณะผู้นำชุดใหม่ รวมถึงการคัดเลือกคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 19 ซึ่งจะถือเป็นกลุ่มผู้นำพรรคฯ ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ ก็ยังคงไม่มีใครเป็นตัวเก็งผู้นำชัดเจนอย่างที่สื่อหลายฝ่ายคาดฯ ในเวลานั้น สิ่งที่ชัดเจนอย่างเดียวคือว่าเขายังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องตัวตายตัวแทนของตน
ตลอดช่วงสมัยแรกของการเป็นประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้ทำงานอย่างขยันขันแข็ง เต็มไปด้วยยุทธศาสตร์ระยะยาวยั่งยืนของอาณาจักรจีน ซึ่งการถางทางที่สำคัญคือการสร้างศรัทธาพรรคด้วยการปราบปรามทุจริตในพรรคฯ นั่นเอง
ตัวอย่างหนึ่งเช่น เดือนกรกฎาคม 2560 หน่วยงานปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น ได้จัดการเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งนครฉงชิ่ง นายซุน เจิ้งไฉ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฯ หลายฝ่าย มองว่า นายซุน เจิ้งไฉ วัย 55 ปีผู้นี้มีอนาคตไกล เป็นผู้นำรุ่นใหม่ หรือที่เรียกว่า "รุ่นหก"และมีแววจะได้รับตำแหน่งระดับสูงสุดในรัฐบาล เมื่อพ้นรุ่นของสี จิ้นผิง
พูดให้ชัดๆ คือ ซุน นี่แหล่ะ มีโอกาสสูงในการสืบทอดสี จิ้นผิง แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 นี้เอง ซุนถูกคณะกรรมการปราบปรามทุจริตประจำเทียนจิน กล่าวหาว่าทุจริตเรียกรับสินบน และอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีฯ ทำให้อนาคตของ ซุน ดับลง จากเป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ชุดที่ 17 และถูกไล่ออกจากคณะกรรมการกลาง ชุดที่ 18
เยี่ยงอย่างนี้จึงดูเหมือนว่า วิบากกรรมเดียวของตัวเก็งหรือผู้สืบทอดผู้นำจีน ก็คือความบริสุทธิ์ไร้มลทิน
เจตนารมย์เดิมนั้น ธรรมนูญแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ บัญญัติวาระดำรงตำแหน่งไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงอำนาจเช่นประวัติศาสตร์จีนทุกยุคสมัยที่ผ่านมา และอาจจะเป็นเพราะ ผู้นำเติ้งเสี่ยวผิง ได้ผ่านเห็นกับตา โดนกับตัวเอง ในยุคแห่งอำนาจเด็ดขาดของประธานเหมาเจ๋อตง ที่พาแผ่นดินไปสู่วิกฤติใหญ่หลวงจากการปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อเติ้งฯ มีอำนาจจึงวางแนวทางจำกัดวาระตำแหน่งประธานาธิบดี เลี่ยงประวัติศาสตร์ซ้ำรอยบูชาตัวบุคคล สู่การ “การนำแบบหมู่คณะ” กระจายอำนาจบริหารงานโดยสมาชิกประจำกรมการเมือง 7-9 คน
การนำแบบหมู่คณะเติ้งเสี่ยวผิง นำจีนสู่สมดุลอำนาจ เปิดความยิ่งใหญ่ยุคใหม่ ปฏิรูปเศรษฐกิจ ฟื้นฟูแผ่นดินบอบช้ำจากสมัยผู้นำเดี่ยวประธานเหมา และเมื่อบริหารแบบไม่มีใครใหญ่คับฟ้า ความผิดพลาดแบบปุถุชนก็ไม่ใหญ่หลวงล่มจม นอกจากนั้นยังมีโอกาสเปลี่ยนถ่ายน้ำ ตามสถานการณ์ บริบท ประชาชน ประชาคมโลก และกฎอนิจจังสังคม
แต่ผ่านไปเพียงชั่วรุ่นเดียว ธรรมนูญพรรคฯ นี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยผู้นำรุ่นนี้ ก็อาจจะมองว่า ธรรมนูญก็อยู่ใต้กฎอนิจจังเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่าน
สี จิ้นผิง เป็นผู้นำในยุคที่สภาพแผ่นดินจีนต่างจาก เติ้งเสี่ยวผิง ด้วยสถานะของสี จิ้นผิง และจีนวันนี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นชาติมหาอำนาจ และตัวสี จิ้นผิงเอง ก็เป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งในโลก ยิ่งเมื่อปลดข้อจำกัดการอยู่ในตำแหน่งฯ ยิ่งทำให้เขากลายเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดหนึ่งเดียวในโลกก็ว่าได้ เพราะแม้วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะมีสถานะเดียวกัน แต่ ปูติน ยังต้องเลี่ยงรัฐธรรมนูญ โดยการสลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี หลังเป็นประธานาธิบดีรัสเซียครบ 2 วาระ
ในมุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น เดิมพันของความต่อเนื่องของความฝันจีน ยุทธศาสตร์การพัฒนาจีน เส้นทางสายไหมอาณาจักรจีน ลัทธิสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน คงรอผลัดสลับแบบนั้นไม่ได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ "สี จะทนได้" แต่เป็นเรื่อง "สีทำได้" เปลี่ยนรัฐธรรมนูญเสียเลย
สี จิ้นผิง ยังเป็นผู้นำในยุคที่สภาพแผ่นดินจีนต่างจาก เติ้งเสี่ยวผิง วันนี้ สี คือผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก คุมพลังขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจของโลก อยู่ในบริบทสังคมโลกใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงสมดุลขั้วอำนาจโลก เขาบริหารประเทศที่มีประชากรถึง 1,400 ล้านคนมากที่สุดในโลก สี จิ้นผิงรวบอำนาจ กวาดทุกสถาบันอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งสาม คือ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์, ประธานคณะกรรมการกลางทหาร และประธานาธิบดี ซึ่งเมื่อเทียบในระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์นั้น ตำแหน่ง“ประธานาธิบดี ” ยังไม่มีอำนาจรูปธรรมสูงสุด เป็นเพียงตัวแทนพิธีการระหว่างประเทศ
สี จิ้นผิง ต่างกับ เติ้งเสี่ยวผิง ตรงที่เขาอยู่ในจุดที่พรรคคอมมิวนิสต์มีการกวาดล้างใหญ่ จัดตั้งกองทัพเข้มแข็ง ถอนรากเจ้าหน้าที่คอร์รัปชั่นทั้งระดับเสือและแมลงวัน โยกเปลี่ยนคู่ขัด เป็นคู่หู
สี จิ้นผิง ยังเป็นผู้นำของประเทศที่เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของหลายๆ ประเทศ รวมมูลค่าแล้วใหญ่พอๆ กับสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป และที่สำคัญ สี จิ้นผิงเป็นผู้นำ ในยุคที่ มหาอำนาจต่างขั้วอย่างอเมริกา มีผู้นำฯ ที่ไม่สามารถดำรงสถานะพี่ใหญ่โลกได้เลย
สี จิ้นผิง เริ่มเข้ายึดกุมบทบาทพี่เบิ้มโลก ทั้งในการจัดระเบียบใหม่ของโลกาภิวัฒน์ และผู้นำในการเผชิญวิกฤติโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ ก็คงไม่ต่างกับวิสัยทัศน์ของเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งหยั่งรู้ว่า อำนาจคือภาระอย่างหนึ่ง ใหญ่โตมาก ก็ล้มดัง มีอำนาจทำงานมาก ความผิดพลาดครั้งเดียว ก็อาจใหญ่หลวงมากตาม สี จิ้นผิงเองก็คงหนีความรับผิดชอบไม่ได้ ด้วยด้านหนึ่งของความเจริญนี้ จีนกำลังเผชิญกับสังคมที่เหลื่อมล้ำ รวยจน กับเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ประชากรมีฐานะดีขึ้น ความต้องการก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนยุคแรกที่สี จิ้นผิงเข้ามาปกครอง เพราะคนชั้นกลางรุ่นใหม่ มีความต้องการใหม่ และหนึ่งในนั้นคือ "เสรีภาพ" ไม่ใช่เหมือนคนรุ่นก่อน ที่ขอเพียงมีหลังคาคุ้มหัวเมื่อฝนตก และคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ได้อยากก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน เหมือนรุ่นพ่อแม่เขา
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มาตรการปราบปราม กวาดล้างทำความสะอาดพรรคคอมมิวนิสต์ อาจจะเป็นหนึ่งในวิธีสร้างศรัทธา หรือรักษาอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่อำนาจที่มาจากการปราบนี้ เป็นอำนาจที่ไม่ยั่งยืน และการปกครองโดยบุคคลคนเดียวนี้ มีความเสี่ยงสูง ทั้งเสี่ยงในการรักษาอำนาจอย่างมีเสถียรภาพ และการใช้อำนาจ ซึ่งนับจากนี้ สี จิ้นผิง เพียงลำพัง จะได้รับการจดจำในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของจีน ไม่ว่าดีหรือร้าย