xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: มะกันช็อก! “ทรัมป์” เลี่ยงประณามพวก “เหยียดผิว” ก่อม็อบนองเลือดที่เวอร์จิเนีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ท่ามกลางปัญหารุมเร้ามากมายทั้งเรื่องรัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเผชิญมรสุมการเมืองลูกใหญ่อีกครั้งเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจกลุ่มชาตินิยมขวาจัด “ไวท์ซูพรีเมซิสต์” ที่ก่อประท้วงจนมีคนตาย 1 ศพในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งถือเป็นการละเมิดค่านิยมและมาตรฐานศีลธรรมของคนอเมริกันที่ไม่ยอมรับการแบ่งแยกเหยียดผิว

เหตุการณ์ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิกฤตภายในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลทรัมป์เริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนที่นิยมลัทธินีโอนาซีและไวท์ซูพรีเมซิสต์ได้ถือคบเพลิง กระบอง โล่ และอาวุธปืน บุกเข้าไปภายในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเมื่อวันที่ 12 ส.ค. เพื่อคัดค้านการรื้อรูปปั้น โรเบิร์ต อี. ลี ผู้นำกองกำลังสมาพันธรัฐซึ่งเป็นวีรบุรุษของฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองอเมริกา จนนำมาสู่การปะทะกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย เหตุการณ์ได้ลุกลามบานปลายเมื่อ เจมส์ ฟิลด์ส อดีตทหารเกณฑ์วัย 20 ปีที่คลั่งไคล้ลัทธินาซีตัดสินใจขับรถยนต์พุ่งเข้าใส่ผู้ประท้วงฝ่ายตรงข้าม จนทำให้สตรีวัย 32 ปีคนหนึ่งเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีก 19 คน

ทรัมป์ ถูกวิจารณ์ว่าตอบสนองเหตุการณ์ล่าช้า และยังเลี่ยงที่จะกล่าวโทษพวกชาตินิยมผิวขาว โดยเอ่ยในคำแถลงครั้งแรกว่า “ขอประณามด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุดต่อการแสดงความเกลียดชัง ความดันทุรัง และความรุนแรงจากหลายๆ ฝ่าย”

ถ้อยแถลงนี้จุดกระแสวิจารณ์อย่างหนักว่า เหตุใดผู้นำสหรัฐฯ จึงใช้วิธี “เหมารวม” และไม่ตำหนิพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ที่เป็นกลุ่มหัวรุนแรงและเป็นต้นตอของเหตุชุลมุน เมื่อถูกกดดันหนักเข้า ทรัมป์ ก็ยอมออกมาตำหนิลัทธิเหยียดผิว พร้อมระบุชื่อกลุ่ม “คูคลักซ์แคลน” (KKK) และ “นีโอนาซี” ว่าเป็นพวก “อาชญากรและแก๊งอันธพาล”

แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่จบลงด้วยดี เพราะในวันถัดมา ทรัมป์ ก็พลิกลิ้นกลับไปตำหนิผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่ายอีกครั้ง พร้อมย้ำว่าพวก “ซ้ายจัด” (alt-left) ก็ใช้ความรุนแรงเช่นกัน

“ผมว่ามันก็มีส่วนผิดกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ” ทรัมป์ กล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนที่อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ในนครนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร (15 ส.ค.)

ฝ่ายหนึ่งก็เป็นคนไม่ดี แต่อีกฝ่ายก็ใช้ความรุนแรงเหมือนกัน แม้ไม่มีใครอยากพูด แต่ผมจะพูดในวันนี้... พวกซ้ายจัดที่ตรงเข้าไปทำร้ายพวกขวาจัด พวกเขามีความสำนึกผิดบ้างไหม? เรื่องราวมันมีอยู่ 2 ด้าน”

ทรัมป์ ชี้ว่า แม้จะมีผู้ประท้วงขวาจัดบางคนที่ก่อปัญหา แต่ก็มีอีกหลายคนที่ “ออกมาชุมนุมด้วยใจบริสุทธิ์ และถูกต้องตามกฎหมาย” เพราะไม่ต้องการให้รูปปั้นบุคคลสำคัญอย่าง โรเบิร์ต อี. ลี ถูกรื้อถอน พร้อมยิงคำถามประชดต่อว่า “สัปดาห์หน้าจะมีใครเรียกร้องให้รื้อรูปปั้น จอร์จ วอชิงตัน ไหม? แล้วสัปดาห์ถัดไป โทมัส เจฟเฟอร์สัน ก็จะโดนด้วยใช่หรือเปล่า?”

สื่อมวลชนและนักการเมืองทั้งสายเดโมแครตและรีพับลิกันต่างอึ้งไปตามๆ กันที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองการกระทำของคนทั่วไปกับพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ว่าเท่าเทียม โดย ทิม เคน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีและ ส.ว.เดโมแครตจากรัฐเวอร์จิเนีย ยืนยันว่า “เหตุรุนแรงที่ชาร์ล็อตต์สวิลล์ถูกกระตุ้นโดยคนฝ่ายเดียว ก็คือพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ที่พยายามเผยแพร่ลัทธิเหยียดผิว การไม่อดทนซึ่งกันและกัน และการข่มขู่คุกคาม ทั้งหมดนี้คือความจริง” ขณะที่ พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน เรียกร้องให้สังคมปฏิเสธลัทธิเหยียดผิวที่ต่อต้านค่านิยมอเมริกัน และไม่ควรปล่อยให้เกิด “ความกำกวมในด้านศีลธรรม”

เดวิด ดยุค อดีตผู้นำกลุ่มคูคลักซ์แคลน ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ชื่นชมผู้นำสหรัฐฯ โดยระบุว่า “ขอบคุณประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่ท่านมีความจริงใจและกล้าหาญพอที่จะพูดความจริงเกี่ยวกับ #ชาร์ล็อตต์สวิลล์ และประณามพวกก่อการร้ายฝ่ายซ้าย” ส่วน ริชาร์ด สเปนเซอร์ หัวหน้ากลุ่มชาตินิยมผิวขาว ก็ทวีตข้อความว่ารู้สึก “ภูมิใจที่ประธานาธิบดีกล้าเสนอความจริง”
ภาพเหตุการณ์ขณะที่รถยนต์คันหนึ่งพุ่งเข้าใส่ฝูงชนที่ออกมาชุมนุมต้านพวกชาตินิยมผิวขาวที่เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย
ความคิดเห็นที่ขัดต่อค่านิยมอเมริกันเช่นนี้กลายเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” สำหรับหลายๆ คนที่ทำงานให้ทรัมป์ ผู้บริหารบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น เมอร์ค แอนด์ โค อิงก์ ผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่ของโลก, อินเทล คอร์ป และ 3เอ็ม ได้ขอสละตำแหน่งที่ปรึกษาสภาการผลิตของรัฐบาล เนื่องจากรับไม่ได้ที่ประธานาธิบดีปกป้องพวกเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งตรงข้ามกับค่านิยมอเมริกันที่ให้คุณค่ากับความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านสีผิว ศาสนา เผ่าพันธุ์ เพศ หรือความเชื่อ

ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาตอบโต้ด้วยการตัดสินใจยุบสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจทั้ง 2 ชุดในวันพุธ (16)

ผู้สื่อข่าวนิวยอร์กไทม์สซึ่งรายงานสถานการณ์การประท้วงที่ชาร์ล็อตต์สวิลล์ ระบุว่า กลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์ (Antifa) ใช้อาวุธ เช่น กระบองและสีย้อมโจมตีพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ก็จริง แต่ก็เทียบไม่ได้กับการที่หนุ่มคลั่งนาซีวัย 20 ปี ขับรถยนต์พุ่งเข้าใส่ฝูงชนอย่างบ้าเลือดจนมีคนเสียชีวิต

“จะว่าไปก็เหมือนเอาเครื่องบินใบพัดมาเทียบกับเครื่องบินลำเลียง C-130 การอ้างว่าผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านก็ใช้ความรุนแรงเหมือนกันเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดพลาดทั้งในเชิงโครงสร้างและศีลธรรม และบั่นทอนความชอบธรรมของคนเป็นประธานาธิบดีอย่างร้ายแรง” ไบรอัน เลวิน ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษาความเกลียดชังและลัทธิสุดโต่ง มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท เมืองซานเบอร์นาดิโน กล่าว

อเล็กซ์ นาวรัสเตห์ นักวิเคราะห์จากสถาบัน ลิเบอแทเรียน คาโต ได้อ้างฐานข้อมูลการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในรอบ 25 ปี ซึ่งพบว่ากลุ่มสุดโต่งขวาจัดนิยมใช้ความรุนแรงมากกว่ากลุ่มซ้ายจัดหลายเท่า

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียที่ศึกษาการรับแนวคิดสุดโต่งของประชากร 1,500 คนในช่วงระหว่างปี 1948-2013 พบว่า ผู้ที่ถูกชักจูงไปในทางขวาจัดมีมากถึงร้อยละ 43 ส่วนพวกซ้ายจัดมีแค่ร้อยละ 21 นอกจากนี้ยังพบว่า พวกที่คลั่งไคล้ขวาจัดมีแนวโน้มก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้มากกว่ากลุ่มซ้ายจัด ซึ่งมักจะใช้วิธีทำลายทรัพย์สิน

ภาพความรุนแรงที่เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งหลายประเทศกำลังเผชิญกระแสความเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobia) ที่มาพร้อมกับคลื่นผู้อพยพ ขณะที่องค์การสหประชาชาติเตือนว่า ลัทธิเหยียดผิวที่ใช้ความรุนแรง การต่อต้านชาวเซมิติก ความเกลียดกลัวคนต่างชาติ และการแบ่งแย่งกีดกันอย่างเปิดเผยเช่นที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ไม่ควรมีที่ยืนอยู่ในสังคมโลกปัจจุบัน
ชาวอเมริกันหลายร้อยคนชูป้ายประท้วงลัทธิชาตินิยมผิวขาวที่จตุรัสไทม์สแควร์

กำลังโหลดความคิดเห็น