ข่าวลือเรื่องการสมคบคิดรัสเซียที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ มาตลอด 6 เดือน ถูกกระพือจนร้อนแรงอีกครั้งในสัปดาห์นี้ เมื่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สเดินหน้าขุดคุ้ยเรื่องที่ “โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์” บุตรชายคนหัวปีของผู้นำสหรัฐฯ เคยพบกับทนายความชาวรัสเซียระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว และแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการเผยแพร่อีเมลที่ใช้ติดต่อคนกลาง และยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดนี้ “พ่อทรัมป์” ไม่รู้เรื่อง แต่ดูเหมือนสถานการณ์กลับยิ่งเลวร้าย และอาจส่งผลกระทบถึงความอยู่รอดของรัฐบาลทรัมป์
นิวยอร์กไทม์สเผยแพร่รายงานชิ้นแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 8 ก.ค. โดยระบุว่า ทรัมป์ จูเนียร์ วัย 39 ปี ได้ไปพบกับ นาตาเลีย วาเซลนิตสกายา ทนายความหญิงซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทำเนียบเครมลิน ที่อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ปี 2016 หรือหลังจากที่ ทรัมป์ ผู้พ่อได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรครีพับลิกันให้เป็นตัวแทนลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เพียง 2 สัปดาห์ โดยการพบปะครั้งนี้มี ร็อบ โกลด์สโตน นักประชาสัมพันธ์และอดีตนักหนังสือพิมพ์อังกฤษ เป็นคนกลางช่วยนัดหมาย
ทรัมป์ จูเนียร์ อ้างว่า ตนยอมไปพบ เวเซลนิตสกายา หลังจากได้รับคำยืนยันว่า เธอคนนี้มี “ข้อมูลละเอียดอ่อน” ที่สามารถทำลายชื่อเสียงของ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตที่เป็นคู่แข่งของ ทรัมป์ ในการชิงบัลลังก์ทำเนียบขาว
เจเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรดของทรัมป์ รวมถึง พอล มานาฟอร์ต ประธานแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ในขณะนั้น ได้เข้าร่วมวงสนทนาในวันดังกล่าวด้วย ซึ่งถือเป็นการนัดพบส่วนตัวครั้งแรกระหว่างคนใกล้ชิดทรัมป์กับชาวรัสเซียที่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจริง
โกลด์สโตน ยอมรับว่า ตนเป็นคนส่งอีเมลนัดหมายบุตรชายทรัมป์ให้ได้พบกับ วาเซลนิตสกายา ตามคำขอของ เอมิน อกาลารอฟ (Emin Agalarov) นักร้องและนักธุรกิจชาวรัสเซียซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งของเขา
ทรัมป์ จูเนียร์ ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ว่า ตนได้รับการนัดหมายให้ไปพบบุคคลๆ หนึ่งซึ่งรู้ข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์กับทีมงานทรัมป์ จึงได้ชวน คุชเนอร์ และ มานาฟอร์ต ไปด้วย โดยที่ตนก็ไม่ทราบว่าผู้ที่จะไปพบนั้นคือใคร
หลังจากเจอหน้าและทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว วาเซลนิตสกายา ก็เริ่มบทสนทนาโดยอ้างว่ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับชาวรัสเซียที่บริจาคเงินผิดกฎหมายอุดหนุนคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ และทีมหาเสียงของคลินตัน ทว่าคำพูดของเธอนั้นเลื่อนลอยและไม่ให้รายละเอียดสนับสนุน ตนจึงทราบทันทีว่า สตรีผู้นี้ไม่ได้มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และเมื่อ วาเซลนิตสกายา เปลี่ยนไปพูดถึงการรับเลี้ยงเด็กรัสเซียเป็นบุตรบุญธรรม มาตรการคว่ำบาตร และกฎหมายแม็กนิตสกี (Magnitsky Act) ตนก็ยิ่งมั่นใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเธออยู่ที่เรื่องเหล่านี้ และพูดตัดบททันทีว่า บิดายังไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นเพียงเอกชนเท่านั้น และปัญหาที่เธอเอ่ยถึงอาจจะได้รับการดูแลแก้ไขหลังจากที่ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว
ทรัมป์ จูเนียร์ ยืนยันว่า ใช้เวลาสนทนากับทนายหญิงผู้นี้เพียง 20-30 นาที จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกับเธออีก และไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้บิดาทราบ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีอะไรสลักสำคัญ และ “เสียเวลาเปล่า”
“ผมมองว่านี่คือการศึกษาคู่ต่อสู้ พวกเขาอาจมีข้อมูลบางอย่างที่เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ผมเคยได้ยินมา ซึ่งอาจจะถูกเก็บงำมาตั้งหลายปีแล้ว ไม่ใช่แค่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นผมจึงอยากทราบว่ามันคืออะไร” บุตรชายทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ พร้อมยอมรับว่า หากย้อนเวลากลับไปได้ “ก็คงจะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป”
ด้าน วาเซลนิตสกายา ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์ส โดยยืนยันว่าไม่ได้ทำงานให้กับวังเครมลิน ขณะที่โฆษกรัสเซีย ดมิตรี เปสคอฟ ก็ยืนยันกับสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ (10) ว่า รัฐบาลหมีขาวไม่เคยรู้จักทนายผู้นี้มาก่อน และคงไม่มีปัญญาติดตามความเคลื่อนไหวของทนายชาวรัสเซียทุกคนทั้งในและนอกประเทศได้
สมาชิกพรรคเดโมแครตฉวยโอกาสโจมตีว่าเรื่องนี้ คือ หลักฐานที่ชัดเจนว่าคนใกล้ชิด ทรัมป์ สมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียเพื่อให้ชนะเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว หนึ่งในนั้นคือ ส.ว. ทิม เคน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีคู่กับ คลินตัน ซึ่งให้สัมภาษณ์ CNN เมื่อวันอังคาร (11) ว่า พฤติกรรมของ ทรัมป์ จูเนียร์ เข้าข่ายเป็น “กบฏต่อแผ่นดิน” (treason)
คณะกรรมาธิการข่าวกรองแห่งวุฒิสภาซึ่งกำลังตรวจสอบสายสัมพันธ์ระหว่างทีมหาเสียง ทรัมป์ กับรัสเซีย ระบุเมื่อวันจันทร์ (10) ว่าต้องการเชิญตัว ทรัมป์ จูเนียร์ มาให้ข้อมูล ซึ่งบุตรชายประธานาธิบดีก็ยืนยันผ่านทวิตเตอร์ว่า ยินดีจะไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
คนในพรรครีพับลิกันได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แตกต่างกันออกไป โดย ส.ว.ลินด์ซีย์ เกรแฮม ออกมาตำหนิคนของ ทรัมป์ ว่าไม่ควรยอมรับความช่วยเหลือจากต่างชาติในทุกๆ รูปแบบ ขณะที่ ส.ว. ชัค แกรสลีย์ มองว่าการที่ ทรัมป์ จูเนียร์ ยอมนำอีเมลมาเปิดเผยต่อสาธารณชนถือเป็นตัวอย่างของ “ความโปร่งใส”
ด้าน ส.ว.ออริน แฮตช์ กล่าวชม ทรัมป์ จูเนียร์ ว่าเป็น “คนหนุ่มที่ฉลาดเฉลียว” และแม้จะเป็นบุตรชายประธานาธิบดี แต่เขาก็ไม่ใช่คนในรัฐบาล และไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนทรัมป์ การที่พรรคเดโมแครตอ้างว่าเขามีความผิดถึงขั้น “กบฏ” จึงเป็นการพูดเลยเถิดเกินไป
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชี้ว่า ประเด็นที่บุตรชายทรัมป์มีสิทธิ์ถูกเล่นงานมากที่สุดก็คือ ข้อความในอีเมลซึ่งเขาเขียนตอบ โกลด์สโตน ว่ารู้สึก “ยินดี” ที่จะฟังว่ารัสเซียมีข้อมูลอ่อนไหวอะไรบ้างเกี่ยวกับ คลินตัน
กฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ นั้นห้ามมิให้ต่างชาติเข้ามาสนับสนุน หรือให้สัญญาว่าจะกระทำการลักษณะดังกล่าวต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงห้ามรับบริจาคเงิน “หรือสิ่งอื่นๆ ที่มีมูลค่า” ซึ่ง แบรนดอน แกร์เร็ตต์ อาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ระบุว่า อาจจะหมายรวมถึง “ข้อมูล” ด้วยก็เป็นได้
ด้าน โจชัว เดรสเลอร์ อาจารย์กฎหมายจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท ชี้ว่า ข้อหากบฏนั้นอาจจะรุนแรงเกินไปสำหรับการกระทำของ ทรัมป์ จูเนียร์ “แค่การติดต่อกับต่างชาติ แม้จะเป็นชาติศัตรูก็ตาม ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่ได้มีสงครามกับใคร ย่อมไม่ถือเป็นความผิดถึงขั้นจารกรรม (espionage) หรือกบฏต่อแผ่นดิน การกล่าวหาใครว่าเป็นกบฏคุณต้องแสดงหลักฐานยืนยันว่าเขามีเจตนาทำลายชาติบ้านเมือง... ซึ่งในกรณีนี้จัดว่าเป็นข้อกล่าวหาที่แรงเกินไป”
ล่าสุด สถานีโทรทัศน์ CNN ได้เปิดเผยคลิปวิดีโอขณะที่ ทรัมป์ ร่วมรับประทานอาหารค่ำอย่างสนิทสนมกับครอบครัวอากาลารอฟเมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่ยืนยันถึงความใกล้ชิดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับตระกูลเศรษฐีรัสเซียที่อยู่เบื้องหลังการเสนอให้ข้อมูลทำลาย คลินตัน หลังจากนี้จึงต้องติดตามกันต่อว่า ทรัมป์ จะแก้สถานการณ์อันยากลำบากนี้อย่างไร และจะมีการเปิดโปงข้อมูลใหม่ๆ จนนำไปสู่การพิจารณาถอดถอนเขาออกจากเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ หรือไม่