xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ ออกอาการ ‘รั่ว’ อย่างแรง

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

โดนัลด์ ทรัมป์
คนอเมริกันเริ่มมองผู้นำ โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยความกังวล เมื่อเป็นอาการคล้ายคนธาตุไฟแตก ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ หลังจากเผชิญความกดดันสารพัดในช่วงกว่า 6 เดือนแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ

เป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็จริง แต่ระดับความนิยมของทรัมป์ในสายตาของประชาชนกลับตกต่ำรวดเร็ว ทุกวันนี้ร่อแร่อยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์กว่าเท่านั้น และยังไม่มีวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้นท่ามกลางวิกฤตรุมเร้าทุกทิศทาง

นักวิเคราะห์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นมองว่าอาการฉุนเฉียวจนขาดความเหนี่ยวรั้งนั้นจะทำให้คนรู้สึกไม่ไว้ใจ สงสัยว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่มีความสามารถหรือไม่ การมีอารมณ์รุนแรง โมโหง่าย ชวนทะเลาะ “ปากไม่ดี” เป็นจุดอ่อนอย่างแรง

มีคนเปรียบทรัมป์ว่าเป็นเหมือนรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งเตลิด ไม่มีเบรก และไม่มีเกียร์ถอยด้วย ที่น่าห่วงก็คืออาการที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่จะสร้างความไม่น่าไว้ใจเมื่อต้องเผชิญวิกฤต และตัวเองเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของประเทศ

แรงกดดันต่อเนื่องมาทำให้ถึงจุดที่ทรัมป์ฟิวส์ขาด เมื่อเผชิญกับการชุมนุมเดินขบวนโดยกลุ่มฝ่ายขวาจัดสุดโต่งซึ่งมีทั้งกลุ่มนาซีใหม่ กลุ่มคนผิวขาวซึ่งมีทั้งพวกชาตินิยม พวกเหยียดสีผิวและพวกที่มองตัวเองว่าคนผิวขาวเหนือกว่าผู้อื่น

เมื่อเกิดการปะทะกันรุนแรงในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ในรัฐเวอร์จิเนีย ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เกิดการปลุกกระแสความรู้สึกของความเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง “ฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้” ซึ่งทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเรื่องการเลิกทาส

มวลชนเกิดการปะทะกัน นำไปสู่การทำลายอนุสาวรีย์ผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ นายพลโรเบิร์ต อี.ลี. ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายเหนือนำโดยจอร์จ วอชิงตัน ทั้งๆ ที่สงครามกลางเมืองเลิกราไปนานกว่า 200 ปี แต่สัญลักษณ์ต่างๆ ยังอยู่เตือนใจ

การบุกโค่นล้มทำลายอนุสาวรีย์ผู้นำฝ่ายใต้ จึงถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ สร้างความเคียดแค้นของประชาชนซึ่งเคยอยู่ร่วมอาศัยในพื้นที่กับฝ่ายใต้ และยังมีความทรงจำด้านเรื่องเก่าๆ เล่าต่อๆ กันมาโดยบรรพบุรุษ

ทรัมป์ถึงกับประกาศเชิงค่อนแคะ “จากนี้ก็ถึงคิวอนุสาวรีย์จอร์จ วอชิงตันหรืออย่างไร ทำให้คำพูดประชดเหมือนน้ำมันที่ถูกคนเอาไปราดบนกองเพลิง

อาการของทรัมป์เริ่มใกล้สติแตกเมื่อช่วงแรกได้ออกมาโจมตีฝ่ายต่อต้านกลุ่มคนขาวหัวสุดโต่งเดินขบวนว่าได้ก่อความรุนแรงทำให้มีการปะทะกัน ทรัมป์เลี่ยงไม่กล่าวโจมตีหรือโทษกลุ่มคนหัวรุนแรงผิวขาว กลุ่มนีโอ-นาซี หรือนาซีใหม่ กลุ่มขวาสุดโต่งและ “ขวาทางเลือก” ที่เป็นต้นเหตุ และนำไปสู่แรงกดดันทรัมป์

ทำให้ถูกมองว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนขาวขวาจัด และมองว่าทรัมป์มีจิตนิยมเหยียดสีผิวด้วย เมื่อเผชิญแรงกดดัน ข่าวสารเชิงลบ คนแวดล้อมในทำเนียบขาวก็แนะให้ทรัมป์แสดงท่าทีชัดเจนกว่านี้ ก็จำใจออกมาประณามกลุ่มขวาสุดโต่ง

ไปๆ มาๆ เมื่อท่าทียังคลุมเครือ ทรัมป์ก็ประณามทั้ง 2 ฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรง ทำให้ปัญหาความแตกแยกด้านความคิด สีผิว ปะทุขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดอีกครั้งในสังคมอเมริกันซึ่งมองว่าปัญหานี้จะถูกปิดบังซ่อนเร้นไม่ได้

ดังนั้น การประณามทั้งพวกผิวขาวขวาสุดโต่ง และกลุ่มต่อต้าน ทำให้เห็นว่าทรัมป์ไร้หลัก ลู่ไปตามแรงกดดันของกระแส ตอกย้ำความเป็นสังคมแตกแยก

ยิ่งมาแถลงข่าวด้วยอารมณ์ร้อน ทะเลาะโต้เถียงกับผู้สื่อข่าวก็ทำให้ทรัมป์เกิดอาการ “น็อตหลุด” อย่างแรง ทำให้คนได้เห็น “ตัวตน” ที่แท้จริงของทรัมป์ นักการเมืองทั้ง 2 ค่ายมองว่านี่แหละเป็นทรัมป์ที่ไม่เสแสร้ง ไม่สร้างภาพ ของแท้

ทรัมป์ยังถูกมองว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เมื่อทนต่อแรงกดดันไม่ได้ เสียสภาพของความเป็นผู้นำประเทศ แสดงอาการ “ขาดสมาธิ” “หัวเสีย” และ “หงุดหงิด” ง่ายพร้อมจะต่อปากต่อคำแบบไม่เลิกรากับใครก็ได้ที่ทำให้โกรธจัด

การแถลงข่าวด้วยอารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟ ชวนทะเลาะถูกมองว่าเป็นวาระที่ต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ว่าไม่มีใครเหมือน สร้างความสงสัยว่าทำไมคนใกล้ชิด พวกที่ปรึกษาจึงยอมให้ทรัมป์ไปแถลงข่าว

“ทำไมไม่มีใครประเมินสภาวะอารมณ์ของทรัมป์ว่าเป็นอย่างไร?”

จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร? นี่คือคำถามอยู่ในใจของนักการเมืองทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งมองว่าทรัมป์ไม่น่าจะเป็นคนที่เป็นแบบอย่างด้านการเป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม เหมาะสมกับสภาพของผู้นำชาติมหาอำนาจ

ล่าสุด คณะเสนาธิการทหารของกองทัพสหรัฐฯ ออกมาประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น และประณามกลุ่มพวกผิวขวาขวาจัด กลุ่มเหยียดสีผิว กลุ่มนาซีใหม่ รวมทั้งกลุ่ม เคเคเค ซึ่งได้เป็นปัญหาในมลรัฐทางภาคใต้ เกลียดคนผิดดำ

โดยปกติกลุ่มผู้นำกองทัพไม่ข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่แสดงความคิดเห็นแต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นความแปลกอย่างยิ่ง และมีความเห็นพร้อมกัน ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะมองว่าเหตุที่เกิดขึ้นจะเป็นแผลร้าวลึกในสังคมอเมริกัน

ทรัมป์มีวิกฤตที่ตัวเองทำ คนมีความสามารถเริ่มตีจาก ซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่ปรึกษาอยากถอนตัว ทำให้ทรัมป์ยัวะจัด สั่งปลดคณะที่ปรึกษา 2 ชุด เป็นซีอีโอบริษัทใหญ่ ทำให้เกิดคำถามว่าทรัมป์จะอยู่รอดได้นานแค่ไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น