เอเจนซีส์ - “ทรัมป์” ส่งสัญญาณล่าถอยจากจุดยืนแข็งกร้าวในช่วงรณรงค์หาเสียง ทั้งเรื่องโลกร้อน การตั้งอัยการพิเศษสืบสาวเพื่อเอาผิดคลินตันเรื่องอีเมลฉาว และมูลนิธิการกุศล รวมถึงเขายังออกมาปฏิเสธกลุ่มเคลื่อนไหว “ขวาทางเลือก” ที่อ้างว่า ชัยชนะของทรัมป์ คือ ชัยชนะของลัทธิคนขาวสุดโต่ง กระทั่งผู้สนับสนุนฮาร์ดคอร์ออกมาต่อว่าอย่างหัวเสีย ว่า ว่าที่ประมุขทำเนียบขาว “ผิดสัญญา” อย่างไรก็ดี โพลล่าสุดจากสองสำนักบ่งชี้ตรงกันว่า คนส่วนใหญ่มองโลกแง่ดีในช่วง 4 ปีข้างหน้าที่ อเมริกาจะมีประธานาธิบดีชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อวันอังคาร (22 พ.ย.) ทรัมป์พักการหารือเพื่อฟอร์มคณะรัฐมนตรีในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ที่ย่านแมนฮัตตัน, นครนิวยอร์ก เป็นการชั่วคราว และเดินทางข้ามไปยังอีกฟากของเมือง สู่ที่ตั้งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เพื่อพบปะกับคณะบริหารและกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลฉบับนี้ ตลอดจนให้สัมภาษณ์พิเศษ
ระหว่างการให้สัมภาษณ์คราวนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ดูเหมือนลดความแข็งกร้าวลงอย่างชัดเจนในประเด็นเรื่องการนำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงลดโลกร้อนที่เกือบ 200 ประเทศ ให้การรับรองเมื่อปีที่แล้ว โดยบอกว่า เขากำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยใจที่เปิดกว้าง
ทั้งนี้ ระหว่างการรณรงค์หาเสียง ทรัมป์ยืนยันกับผู้มีสิทธิออกเสียงในแถบรัสต์เบลต์ (เขตอุตสาหกรรมการผลิตทางภาคตะวันออกเฉียงใต้, เขตเกรตเลกส์ และย่านมิดเวสต์ ของสหรัฐฯ) และรัฐทางใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานโรงงาน คนงานเหมืองแร่ และบริษัทน้ำมัน ว่า เขาจะฉีกข้อตกลงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว
นอกจากนั้น เมื่อปี 2012 ทรัมป์ ยังทวีตว่า แนวคิดเรื่องโลกร้อนสร้างโดยจีน และสร้างเพื่อจีน เพื่อบ่อนทำลายศักยภาพการแข่งขันของภาคการผลิตของอเมริกา
แต่วันนี้ ทรัมป์ที่กำลังจะเข้าสู่ทำเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคม กลับยอมรับกับ โธมัส ฟรีดแมน คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทม์ส ว่า อาจมีความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมของมนุษย์ กับภาวะโลกร้อน แต่สำทับว่า เขายังกังวลว่า มาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อมจะเพิ่มภาระต้นทุนให้บริษัทอเมริกันมากน้อยเพียงใด
การให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทม์สเช่นนี้ หลังจากเมื่อวันจันทร์ (21) เขาเพิ่งมีข่าวโต้เถียงรุนแรงหลังไมค์กับพวกผู้บริหารเครือข่ายทีวี แถมตอนเช้าวันอังคาร (22) ยังวิจารณ์หนังสือพิมพ์ชั้นนำฉบับนี้อยู่เลยว่า “นิวยอร์กไทม์สที่น่าผิดหวัง” บ่งชี้ว่า ทรัมป์อาจยอมสงบศึกชั่วคราวกับสื่อ
ในการพูดกับนิวยอร์กไทม์สครั้งนี้ ทรัมป์ ยังประณามกลุ่ม “alt-right” (alternative right หรือ ขวาทางเลือก) ซึ่งเป็นกลุ่มการรวมตัวอย่างหลวมๆ ของพวกขวาจัด หลังจากกลุ่มผู้นำของขบวนการนี้นัดพบกันที่กรุงวอชิงตันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และฉลองชัยชนะในการเลือกตั้งของเขาด้วยการทำความเคารพแบบนาซี
นอกจากนั้น เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ ยืนยันว่า อาณาจักรธุรกิจกว้างใหญ่ไพศาลของตน ไม่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับตำแหน่งประธานาธิบดี อย่างน้อยก็ในสายตานักกฎหมายที่ตัวเขาไปขอคำปรึกษา
เขายังบอกว่า กำลังทบทวนจุดยืนในการสนับสนุนการอนุญาตให้ทรมานผู้ถูกควบคุมตัว หลังจากได้พูดคุยกับ เจมส์ แมตทิส นายพลเกษียณราชการในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องการแต่งตั้งให้แมตทิสเป็นรัฐมนตรีกลาโหม
ทรัมป์ เสริมว่า เขายินดีทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ แต่สำหรับกรณีซีเรีย ดูเหมือนว่าที่ประมุขทำเนียบขาว ยังไม่มีแผนการชัดเจน โดยบอกเพียงว่า “เราต้องยุติความบ้าคลั่งที่กำลังเกิดขึ้น”
อดีตพิธีกรเรียลิตีโชว์ที่กำลังจะกลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เข้าพบประธานาธิบดี บารัค โอบามา แม้ว่าเขาจะเคยโจมตีโอบามาอย่างแข็งกร้าวระหว่างหาเสียงก็ตาม
ที่สำคัญ เมื่อถูกถามว่า จะตั้งอัยการพิเศษเพื่อดำเนินคดีกับฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งชิงทำเนียบขาวจากพรรคเดโมแครต ตามที่เคยประกาศไว้หรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า การทำเช่นนั้นจะทำให้ประเทศแตกแยกอย่างหนัก
ก่อนหน้านี้ ในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ กล่าวหาคลินตันทำลายบันทึกอีเมลผิดกฎหมายเพื่อปกปิดการกระทำผิดของตัวเองจากการใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยแรกที่โอบามาเป็นประธานาธิบดี รวมทั้งฉ้อโกงโดยใช้มูลนิธิการกุศลบังหน้า
จากการที่ทรัมป์ทำท่าถอยฉากจากเรื่องนี้เสียแล้ว กำลังทำให้ผู้สนับสนุนทรัมป์หัวเสียอย่างรุนแรง เบร็ตบาร์ต นิวส์ เว็บไซต์ข่าวแนวอนุรักษนิยมขวาจัดที่เคยบริหารโดย สตีฟ เบรนนอน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ของทรัมป์ พาดหัวข่าวว่า “ผิดสัญญา : ทรัมป์ไม่อยากไล่บี้คดีอีเมลฉาวคลินตัน”
อย่างไรก็ดี จากผลสำรวจ 2 สำนักที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (22) พบว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงส่วนใหญ่มองแง่ดีว่า ความพยายามในการ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ของทรัมป์ จะทำให้ประเทศมีอนาคตสดใสขึ้น
ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยควินนิเพก พบว่า ผู้มีสิทธิออกเสียง 59% ต่อ 37% มองแง่ดีสำหรับช่วง 4 ปีข้างหน้า ที่ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เช่นเดียวกัน โพลของซีเอ็นเอ็น/โออาร์ซี พบว่า ผู้มีสิทธิออกเสียง 53% คิดว่า ทรัมป์จะมีผลงานที่ดี