xs
xsm
sm
md
lg

‘สตีเฟน แบนนอน’ นายใหญ่สื่อขวาจัดที่ขึ้นเป็น ‘หัวหน้านักยุทธศาสตร์’ของ โดนัลด์ ทรัมป์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<i>สตีฟ แบนนอน จากบิ๊กบอสสื่อขวาจัดที่เชียร์ โดนัลด์ ทรัมป์ สุดลิ่มทิ่มประตู  ก้าวขึ้นเป็นประธานบริหารทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์  และเวลานี้กลายเป็นหัวหน้านักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาว หนึ่งในที่ปรึกษาใหญ่ใกล้ชิดที่สุดของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ </i>
(เก็บความจากรายงานของบีบีซีนิวส์)

Stephen Bannon: White House role for right-wing media chief
14/11/2016

สตีเฟน แบนนอน ผู้ซึ่งว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้งให้เป็น “หัวหน้านักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาว” อันเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของเขาในการบริหารประเทศ คือนายใหญ่ของเว็บไซต์ “เบรตบาร์ตนิวส์” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำตัวเป็นกระบอกเสียงของ “กลุ่มขวาทางเลือก” ที่เป็นการรวมกลุ่มอย่างหลวมๆ ของพวกขวาจัดแบบต่างๆ ซึ่งล้วนยึดมั่นเชิดชูเรื่องความยิ่งใหญ่ของคนผิวขาว

สตีเฟน แบนนอน (Stephen Bannon) ผู้เป็นพลังขับดันเบื้องหลังเว็บไซต์ “เบรตบาร์ตนิวส์” (Breitbart News) ของพวกฝ่ายขวา ได้รับคัดเลือกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาสำคัญที่สุดของเขา

แบนนอนจะเข้ารับตำแหน่ง “หัวหน้านักยุทธศาสตร์” (chief strategist) อันเป็นบทบาทซึ่งจะทำให้เขาเข้าไปอยู่ตรงหัวใจของทำเนียบขาว

ข่าวการแต่งตั้งเขา ซึ่งได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายจากฝ่ายพรรคเดโมแครต ยังจะก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ชาวพรรครีพับลิกันกระแสหลักอีกด้วย โดยที่พวกนี้ก็ได้ตกเป็นหัวข้อของการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเบรตบาร์ต ในระยะเวลาไม่กี่เดือนหลังๆ มานี้

เว็บไซต์ข่าวซึ่งวางบุคลิกให้ตัวเองเป็นนักต่อสู้พร้อมท้าตีท้าต่อยแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้ป่าวประกาศและคอยปกป้องแก้ต่างให้แก่ระเบียบวาระทางการเมืองแบบต่อต้านชนชั้นนำ และถูกพวกนักวิจารณ์กล่าวหาว่ามีการแสดงออกทั้งในลักษณะหวาดกลัวชิงชังคนต่างชาติ และหวาดกลัวชิงชังผู้หญิง อย่างไรก็ตาม เบรตบาร์ตภายใต้แบนนอน ก็ได้กลายเป็นเว็บไซต์ข่าวและความเห็นแบบอนุรักษนิยมซึ่งมีผู้อ่านมากที่สุดในสหรัฐฯ

“แบนนอน”เป็นใครมาจากไหน

แบนนอนเกิดในมลรัฐเวอร์จิเนียเมื่อปี 1953 เขารับราชการในกองทัพเรืออยู่ 4 ปี ก่อนที่จะเรียนสำเร็จได้ปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ต่อจากนั้นเขาเข้าทำงานในแวดวงวาณิชธนกิจ และหลังจากอยู่กับยักษ์วาณิชธนกิจอย่าง โกลด์แมน แซคส์ ระยะหนึ่ง ก็เข้าไปจับงานด้านการบริหารการเงินให้แก่สื่อ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

เขาผันตัวเองเข้าไปสู่งานโปรดักชั่นภาพยนตร์ โดยทำงานอยู่ในฮอลลีวูด ก่อนแตกตัวออกไปสู่การทำภาพยนตร์สารคดีการเมืองแบบอิสระ และมีผลงานซึ่งเป็นการแสดงความคารวะต่ออดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐฯ, ซาราห์ เพ-ลิน (Sarah Palin)อดีตผู้ว่าการรัฐอะแลสกา, และขบวนการนักเคลื่อนไหวฝ่ายอนุรักษนิยม ที ปาร์ตี้ (Tea Party movement)

จากผลงานนี้เอง เขาได้พบกับ แอนดริว เบรตบาร์ต (Andrew Breitbart) ผู้ประกอบการด้านสื่อที่มีแนวความคิดอนุรักษนิยมอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ซึ่งต้องการสร้างเว็บไซต์ที่มุ่งท้าทายพวกสื่อกระแสหลักที่เขาเห็นว่าถูกครอบงำโดยพวกเสรีนิยม

เมื่อแอนดริว เบรตบาร์ตเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในปี 2012 แบนนอนก็เข้าเทคโอเวอร์เป็นนายใหญ่ของเบรตบาร์ตนิวส์ และขับดันให้มันเดินหน้าต่อไป

เว็บไซต์นี้วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นสื่อสำหรับชาวอเมริกันปีกขวาผู้รู้สึกหงุดหงิดผิดหวังกับพวกนักการเมืองกระแสหลัก เป็นช่องทางแสดงความคิดความเห็นแบบประชานิยม ซึ่งพร้อมวิวาทต่อสู้ และแต่งแต้มด้วยสีสันทฤษฎีสมคบคิด ของผู้คนเหล่านี้

“เราเรียกตัวเราเองเป็น “ไฟต์คลับ” (the Fight Club) คุณไม่ได้มาที่เราเพราะต้องการความอบอุ่นอยากได้คำปลอบประโลม และอะไรๆ ที่คลุมเครือ” หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างคำพูดของแบนนอนในเดือนมกราคม 2016 (ดูรายละเอียดได้ที่https://www.washingtonpost.com/lifestyle/style/how-breitbart-has-become-a-dominant-voice-in-conservative-media/2016/01/27/a705cb88-befe-11e5-9443-7074c3645405_story.html)

“เราคิดถึงตัวเราเองว่าเป็นพวกต่อต้านชนชั้นนำ เป็นพวกต่อต้านที่มีพิษสงร้ายกาจรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ต่อต้าน” พวกชนชั้นที่มีอำนาจอิทธิพลทางการเมืองอย่างถาวร เราประกาศว่า (ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งเป็น ส.ส.พรรครีพับลิกันจากมลรัฐวิสคอนซิน) พอล ไรอัน (Paul Ryan) เป็นคนซึ่งเติบโตขึ้นมาในจานเพาะเลี้ยงที่มูลนิธิเฮอริเทจ ฟาวน์เดชั่น (Heritage Foundation สำนักวิจัยหรือ “คลังสมอง” think-tank สายอนุรักษนิยมชื่อดัง แต่ถูกพวกอนุรักษนิยมรุ่นใหม่ๆ ตราหน้าว่าเป็นพวกชนชั้นนำ -ผู้แปล)”

ไม่น่าประหลาดใจอะไร พาดหัวข่าวบางพาดหัวของเบรตบาร์ตดึงดูดการโต้เถียงขัดแย้งอันดุเดือด เป็นต้นว่า นักวิจารณ์ทางสื่อ (commentator) หัวอนุรักษนิยมคนหนึ่งถูกเว็บไซต์นี้เรียกว่า เป็น “ยิวทรยศ” (renegade Jew ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/2016-presidential-race/2016/05/15/bill-kristol-republican-spoiler-renegade-jew/)

และผลงานขององค์การ “แพลนเน็ด แพเรนต์ฮูด” (Planned Parenthood) ซึ่งเป็นพวกสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ถูกเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/big-government/2015/08/22/godwins-law-planned-parenthoods-body-count-is-up-to-half-a-holocaust/)

มีพาดหัวข่าวหนึ่งบอกว่า “Birth control makes women unattractive and crazy” (การคุมกำเนิดทำให้ผู้หญิงไร้เสน่ห์และเป็นบ้า ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/tech/2015/12/08/birth-control-makes-women-unattractive-and-crazy/)

ขณะที่พาดหัวข่าวอีกอันหนึ่งเขียนว่า “Would you rather your child had feminism or cancer?” (อยากให้ลูกคุณเป็นนักสิทธิสตรีหรือเป็นมะเร็งมากกว่า? ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/video/2016/02/19/would-you-rather-your-child-had-feminism-or-cancer/)

ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งคราวนี้ เว็บไซต์นี้ส่งเสียงเชียร์สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูชนิดปราศจากความละอาย มีอยู่ชิ้นหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2015 เรียกทรัมป์ว่าเป็น “จอห์น เวย์น ของวงการเมือง” (“John Wayne” of politics ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/big-hollywood/2015/11/30/robert-davi-donald-trump-is-the-john-wayne-of-politics/) โดยสาธยายว่า “เราควรต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทรัมป์เข้ามาอยู่ในการแข่งขันคราวนี้ ... เขาจะสกัดกั้นขัดขวางไม่ให้มีการทำลายอเมริกาจนย่อยยับ”

เว็บไซต์นี้ยังถูกกล่าวหาว่ากำลังกลายเป็นกระบอกเสียงของพวก “ขวาทางเลือก” (alternative right หรือเรียกย่อๆ ว่า alt-right) อันหมายถึงการรวมกลุ่มกันอย่างหลวมๆ ทางออนไลน์ของผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาวที่อ้าแขนต้อนรับ “อัตลักษณ์แห่งคนผิวขาว” (white identity) ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ยอมรับทัศนะความคิดเห็นฝ่ายก้าวหน้าในเรื่องเกี่ยวกับการรับผู้อพยพ, เชื้อชาติ, ประเด็นปัญหาทางด้าน LGBT (กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBT ย่อมาจาก lesbian เลสเบี้ยน , gay เกย์ , bisexual ไบเซ็กชวล , และ transgender/transsexual คนข้ามเพศ -ผู้แปล) และความเสมอภาคทางเพศภาวะ

เบรตบาร์ต ระบุในข้อเขียนคอลัมน์ความเห็นหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคม (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.breitbart.com/tech/2016/03/29/an-establishment-conservatives-guide-to-the-alt-right/) ว่า ขบวนการ alt-right มี “พลังงานอันคึกคักแบบเยาวชน และใช้วาทกรรมที่ท้าทายข้อห้ามต่างๆ ซึ่งสามารถสร้างความสั่นสะเทือน” ขณะที่ “ศูนย์กฎหมายความยากจนภาคใต้” (Southern Poverty Law Centre) กลุ่มเรียกร้องต่อสู้ทางกฎหมายชั้นนำของสหรัฐฯในด้านสิทธิพลเมืองและการต่อต้านอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง เรียก “ขวาทางเลือก” ว่าเป็น “การรวมตัวอย่างหลวมๆ ของพวกแนวความคิดอุดมการณ์ขวาจัดแบบต่างๆ” โดยที่เชิดชูเรื่องการสงวนรักษา “อัตลักษณ์แห่งคนผิวขาว” เป็นแกนกลาง

จำนวนผู้ที่อ่านเบรตบาร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเว็บไซต์นี้มีผู้เข้าไปเยือนเมื่อคำนวณจาก IP address ที่ไม่ซ้ำกัน เป็นจำนวน 17 ล้านราย ทั้งนี้ตามรายงานของบริษัทวิจัยด้านดิจิตอล “คอมสกอร์” (Comscore) (ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.washingtonpost.com/lifestyle/style/how-breitbart-has-become-a-dominant-voice-in-conservative-media/2016/01/27/a705cb88-befe-11e5-9443-7074c3645405_story.html) ทว่าภายในเว็บไซต์นี้ก็เกิดความขัดแย้งแตกแยกกันอยู่

เบน ชาปิโร (Ben Shapiro) ผู้ลาออกจากการเป็นบรรณาธิการประจำกองบรรณาธิการ (editor-at-large) ของเว็บไซต์แห่งนี้ในเดือนมีนาคมปีนี้ สืบเนื่องจากวิธีปฏิบัติต่อนักข่าวคนหนึ่งซึ่งกล่าวหากันว่าได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากสมาชิกผู้หนึ่งในทีมของทรัมป์ กล่าวว่า “ภารกิจแห่งชีวิต” ของแอนดริว เบรตบาร์ต ในการต่อสู้กับการข่มเหงรังแกทั้งหลาย ได้ถูกทรยศเสียแล้ว (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.dailywire.com/news/8441/i-know-trumps-new-campaign-chairman-steve-bannon-ben-shapiro)

“ในความเห็นของผม สตีฟ แบนนอน เป็นอันธพาลที่เที่ยวข่มเหงรังแกคนอื่น และได้ขายภารกิจของแอนดริวไปเสียแล้ว เพื่อที่จะหนุนหลังอันธพาลอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์” เขาเขียนเอาไว้เช่นนี้

“ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

ทรัมป์ได้แต่งตั้งแบนนอนให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของทีมรณรงค์หาเสียงของเขาในเดือนสิงหาคม และจากนั้นภายหลังที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน เขาก็มอบตำแหน่งที่มีบทบาทสำคัญในทำเนียบขาวให้แก่แบนนอน

ชาวพรรคเดโมแครตออกมาประณามการแต่งตั้งนี้กันอย่างดุเดือด

“เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเข้าใจได้ว่า ทำไม เคเคเค (Ku Klux Klan คูคลักซ์แคลน ขบวนการของพวกขวาจัดในอเมริกา ที่เรียกร้องสนับสนุนฐานะความเป็นใหญ่ของคนผิวขาว -ผู้แปล) จึงมีทัศนะว่า ทรัมป์เป็นแชมเปี้ยนของพวกเขา ในเมื่อทรัมป์แต่งตั้งหนึ่งในบุคคลระดับแนวหน้าที่เที่ยวเร่ขายแนวคิดและวาทกรรมว่าด้วยความเป็นใหญ่ของคนผิวขาว ให้เป็นผู้ช่วยระดับท็อปของเขาเช่นนี้” แอดัม เจนเทิลสัน (Adam Jentleson) ผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกให้แก่ แฮร์รี รีด (Harry Reid) ผู้นำของเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวเอาไว้ในคำแถลงฉบับหนึ่ง

การแต่งตั้งแบนนอนยังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพวกกลุ่มสิทธิพลเมือง เป็นต้นว่า สันนิบาตต่อต้านการใส่ร้ายหมิ่นประมาท (Anti-Defamation League หรือ ADL) ซึ่งรณรงค์ต่อสู้กับลัทธิต่อต้านชาวยิว และ ศูนย์กฎหมายความยากจนภาคใต้ ที่ต่อสู้กับการก่ออาชญากรรมสืบเนื่องจากความเกลียดชัง

โจนาธาน กรีนแบลตต์ (Jonathan Greenblatt) ประธานบริหารของ ADL พูดถึงแบนนอนว่า เป็น “บุรุษซึ่งเป็นประธานของเว็บไซต์สำคัญที่สุดของ “พวก alt-right” ที่เป็นกลุ่มรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ของพวกนักชาตินิยมผิวขาว และพวกต่อต้านชาวยิวตลอดจนพวกเหยียดเชื้อชาติที่ไร้ยางอายทั้งหลาย”

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าแบนนอนจะมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนในทำเนียบขาวยุคของทรัมป์ ตัวทรัมป์เองกล่าวในคำแถลงฉบับหนึ่งว่า แบนนอนจะทำงาน “ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนเพื่อนร่วมงานที่มีฐานะเท่าเทียมกัน” กับ เรนซ์ พรีบัส (Reince Priebus) ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่ (chief of staff) ของทำเนียบขาว

พรีบัสนั้นเป็นบุคคลวงในของแวดวงการเมืองในกรุงวอชิงตัน โดยเขาเพิ่งออกจากการเป็นประธานของคณะกรรมการแห่งชาติพรรครีพับลิกัน รวมทั้งเขายังเป็นเพื่อนของประธานสภาผู้แทนราษฎร พอล ไรอัน

อีไล เลค (Eli Lake) คอลัมนิสต์ที่เขียนให้ “บลูมเบิร์ก วิว” (Bloomberg View) จากวอชิงตัน บอกกับบีบีซีว่า การที่ทรัมป์เลือกพรีบัส ไม่ใช่แบนนอน ให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของทำเนียบขาว เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า คณะบริหารของทรัมป์ “มีความปรารถนาที่จะทำงาน (ร่วมมือกับพวกผู้นำ) ภายในพรรครีพับลิกัน ไม่ใช่พยายามที่จะตัดความสัมพันธ์นี้ขาดไปเลย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ สตีฟ แบนนอน พูดเอาไว้ในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของการรณรงค์หาเสียง”

แต่เลคก็บอกด้วยว่า ชัดเจนมากว่า สตีฟ แบนนอน เป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคลระดับวงในของประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เลคเรียกว่า เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

“ถือเป็นเรื่องใหม่เอามากๆ ที่คนซึ่งเป็นแบบนี้จะได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบขาว และผู้นำของโลกเสรีก็ไว้วางใจคอยรับฟังความคิดเห็นของเขาด้วย”

(จาก http://www.bbc.com/news/election-us-2016-37971742)


กำลังโหลดความคิดเห็น