รอยเตอร์/เอเอฟพี – ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวปราศรัยในพิธีรวมพลสวนสนามครั้งใหญ่เมื่อวันอาทิตย์ (30 ก.ค.) เนื่องในวาระครบรอบ 90 ปีของการก่อตั้งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่กองทัพแดนมังกรจะต้องพลิกเปลี่ยนไปเป็นกองทหารชั้นนำระดับโลก ซึ่งมีศักยภาพที่จะ “ยังความพ่ายแพ้ให้แก่พวกศัตรูผู้รุกรานทั้งหลายทั้งปวง” และซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นผู้ปกครองประเทศอยู่ในเวลานี้
กองทัพจีน ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่ากองทัพปลดแอกประชาชนจีน ได้รับการจัดอันดับว่ามีขนาดใหญ่โตที่สุดในโลก โดยที่เวลานี้กำลังอยู่ในกระบวนการปรับปรุงก้าวสู่ความทันสมัยอย่างใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งมีทั้งการลงทุนในด้านเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ อย่างเช่น เครื่องบินขับไล่เทคโนโลยีกำบังตัว และเรือบรรทุกเครื่องบิน ขณะเดียวกันก็ลดกำลังพลให้น้อยลงและเพิ่มประสิทธิภาพ
สีไปเป็นประธานในพิธีสวนสนามขนาดใหญ่คราวนี้ ที่มีกำลังพลเข้าร่วมประมาณ 12,000 คน และมีเครื่องบินตลอดอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ทางภาคพื้นดินอยู่ในขบวนราว 700 ชิ้น โดยจัดขึ้นที่ค่ายฝึกจูรื่อเหอ อันไกลโพ้นในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางภาคเหนือของประเทศ
ในพิธีสวนสนามครั้งนี้ซึ่งมีการถ่ายทอดแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ สีซึ่งสวมเครื่องแบบชุดพรางของทหารพร้อมหมวกแก็ป ได้ตรวจพลโดยยืนอยู่ที่ตอนหลังของรถจิ๊ป ซึ่งแล่นผ่านขบวนแถวยาวเหยียดของรถถัง, ยานติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธ, และยานยนต์ทหารอื่นๆ
สี ซึ่งมีฐานะเป็นผู้กำกับตรวจสอบกองทัพ จากการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการทหารส่วนกลางอันทรงอำนาจยิ่ง ได้กล่าวตะโกนทักทายทหารอยู่เป็นระยะๆ ว่า “สวัสดี สหายทั้งหลาย!” และ “สหายทั้งหลาย พวกคุณกำลังบากบั่นทำงานหนัก!” ผ่านทางไมโครโฟน 4 ตัวซึ่งติดตั้งอยู่เหนือขบวนรถตรวจพลของเขา ขณะที่มีเสียงดนตรีปลุกขวัญดังสนั่นเป็นแบ็กกราวด์
ทางด้านกองทหารได้ตะโกนตอบกลับเป็นระยะๆ เช่นกันว่า “รับใช้ประชาชน!”, “ติดตามพรรค!”, “สู้เพื่อชัยชนะ!”, และ “หล่อหลอมประพฤติตนเป็นแบบอย่าง!”
ในระหว่างการสวนสนาม แถวรถถัง, ยานยนต์ติดตั้งขีปนาวุธที่สามารถประกอบหัวรบนิวเคลียร์ได้, และยุทโธปกรณ์อื่นๆ ได้เคลื่อนพลผ่านประธานในพิธี ขณะเดียวกับที่เครื่องบินทหารบินอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ เอช-6เค ที่ถูกส่งออกไปตรวจการณ์ใกล้ๆ กับไต้หวันและญี่ปุ่นเมื่อเร็วๆ นี้, เครื่องบินขับไล่ เจ 15 แบบประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบิน, และเครื่องบินขับไล่ เจ 20 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสเตลธ์ สามารถกำบังตัวจากเรดาร์
“วันนี้ เราเข้าใกล้เป้าหมายของการชุบความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ประชาชาติจีนครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่ายุคสมัยอื่นๆ ใดๆ ในประวัติศาสตร์ และเราจำเป็นที่จะต้องสร้างกำลังทหารประชาชนที่แข็งแกร่งขึ้นมายิ่งกว่ายุคสมัยอื่นๆ ใดๆ ในประวัติศาสตร์” สีกล่าวกับกองทหารที่มารวมพลกัน ในคำปราศรัยสั้นๆ ซึ่งมิได้มีการประกาศนโยบายใหม่ใดๆ
“ผมเชื่อว่ากองทัพที่กล้าหาญของเรามีความมั่นอกมั่นใจและมีศักยภาพที่จะยังความพ่ายแพ้ให้แก่พวกศัตรูผู้รุกรานทั้งหลายทั้งปวง”
สีย้ำว่า กองทัพจะต้องหนุนหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กำลังปกครองประเทศอยู่ “อย่างแน่วแน่ไม่ผันแปร”
“ต้องรับฟังพรรคเสมอและต้องทำตามคำสั่งของพรรคเสมอ และเดินไปทุกหนทุกแห่งที่พรรคชี้ให้ไป” เขากล่าว
สีบอกว่า โลกเวลานี้ไม่ได้มีสันติภาพ แต่เขามิได้เอ่ยถึงจุดร้อนระอุเป็นพิเศษใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเลจีนใต้ที่แดนมังกรมีการพิพาทช่วงชิงกรรมสิทธิ์กับหลายประเทศ, ไต้หวัน, หรือความตึงเครียดเนื่องจากโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
ไม่เหมือนกับการรวมพลสวนสนามครั้งมโหฬาร ที่บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินใจกลางกรุงปักกิ่งเมื่อปี 2015 เนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 การสวนสนามในวันอาทิตย์ (30) คราวนี้ มีความโอ่อ่าหรูหราน้อยกว่าเยอะ
เป็นต้นว่ากองทหารหมื่นกว่าคนเหล่านี้สวนสนามในชุดสู้รบ ไม่ใช่เครื่องแบบเต็มยศ และยานพาหนะที่ใช้ก็ทำให้เกิดฝุ่นปลิวคลุ้งขณะเคลื่อนไปตามเส้นทางภายในค่าย
สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนรายงานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนปฏิวัติยึดครองประเทศได้ในปี 1949 ที่จีนระลึกวันกองทัพ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม ด้วยการรวมพลสวนสนาม
นอกจากนั้นยังเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ สี ตรวจพลและรับการเคารพจากทหารในสนามเช่นนี้ ซินหวาระบุ
ทางด้าน เริ่น กว๋อเฉียง โฆษกกระทรวงกลาโหมจีนกล่าวในคำแถลงฉบับหนึ่งว่า สำหรับทหารที่เข้าร่วมคราวนี้มีความรู้สึกว่า สถานที่สวนสนามคราวนี้มี “บรรยากาศแบบสนามรบที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น”
คำแถลงบอกว่า การสวนสนามครั้งนี้จัดขึ้นด้วยความมุ่งหมายที่จะสร้าง “บรรยากาศอันดี” ก่อนหน้าการประชุมสมัชชาพรรคอันสำคัญยิ่งในช่วงต่อไปของปีนี้ ทั้งนี้คาดหมายกันว่าสีจะใช้โอกาสประชุมสมัชชาพรรคคราวนี้เพื่อรวมศูนย์อำนาจให้อยู่ในกำมือของเขาอย่างมั่นคงยิ่งขึ้นอีก
สีได้กล่าวเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า กองทัพจีนมีความคล่องตัวมากขึ้นและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีสูงขึ้น ภายหลังการปฏิรูปต่างๆ ซึ่งยังทำให้กองทัพนี้มีความกะทัดรัดยิ่งขึ้นและสามารถตอบโต้ได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ลดการพึ่งพาแต่เพียงแค่จำนวนทหารอย่างเดียวลงไป
จีนนั้นไม่ได้สู้รบทำสงครามใดๆ มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว และรัฐบาลปักกิ่งก็ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะเป็นปรปักษ์กับใคร เพียงแต่จำเป็นต้องมีความสามารถอันเหมาะสมในการป้องกันประเทศ ซึ่งเวลานี้เติบใหญ่เข้มแข็งกลายเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
อย่างไรก็ตาม จีนก็ทำให้เกิดความหวั่นไหวไปทั่วทั้งเอเชียและทั่วโลก สืบเนื่องจากจุดยืนที่ยืนยันแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก ตลอดจนจากแผนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยของแดนมังกร
ขณะเดียวกันการปฏิรูปทางการทหารบางด้านบางส่วนก็กลายเป็นประเด็นขัดแย้งขึ้นภายในจีนเองเช่นกัน โดยแหล่งข่าวที่ผูกมัดกับกองทัพหลายรายบอกว่า การที่สีประกาศระหว่างการสวนสนามเมื่อปี 2015 ว่าจะตัดลดจำนวนทหารลงมา 300,000 คนนั้น ได้เป็นเหตุทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นภายในกองทัพ