เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีเบนีโญ อากีโน ของฟิลิปปินส์ ออกมาเรียกร้องเพื่อนร่วมชาติของเขาในวันนี้ (12 มิ.ย.) ให้ต่อสู้กับความพยายามที่จะริบเอาเสรีภาพและประชาธิปไตยของพวกเขาไป ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวเพื่อส่งมอบตำแหน่งให้แก่ โรดริโก ดูเตอร์เต ว่าที่ประมุขประเทศคนต่อไป ผู้ประกาศนโยบายโหดจะเข่นฆ่าอาชญากรเป็นหมื่นๆ คน รวมทั้งปิดรัฐสภาหากไม่รับรองนโยบายของเขา
ดูเตอร์เตชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้วด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย โดยชูนโยบายที่จะปราบปรามกวาดล้างสิ่งที่เขาเรียกว่าอาชญากรรมที่กำลังออกอาละวาดหนักในฟิลิปปินส์ พร้อมกับประกาศให้รางวัลก้อนโตแก่ตำรวจ และกระทั่งพลเรือนคนสามัญซึ่งเข่นฆ่าสังหารพ่อค้ายาเสพติด
ระหว่างการปราศรัยเนื่องในโอกาสครบรอบ 118 ปีที่ประเทศประกาศเอกราชจากการปกครองของสเปนผู้เป็นเจ้าอาณานิคมในเวลานั้น อากีโนบอกว่าประชาชนฟิลิปปินส์ต้องคอยระวังป้องกันไม่ให้เกิดช่วงเวลาแห่งการปกครอง 20 ปีของอดีตจอมเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซ้ำรอยขึ้นมาอีก
“ขอให้พวกเรารำลึกเอาไว้ว่า เพียงแค่ช่วง 1 อายุคนที่ผ่านมาเท่านั้น ตัวรัฐบาลฟิลิปปินส์นั่นแหละที่เป็นผู้กระทำการกดขี่ลิดรอนเสรีภาพของเพื่อนร่วมชาติชาวฟิลิปปินส์ของพวกเรา” อากีโนบอกกับแขกผู้มีเกียรติ ซึ่งมีทั้งนักการทูตต่างประเทศ, เจ้าหน้าระดับสูงของภาครัฐ และผู้บริหารในวงการธุรกิจ ในงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบประธานาธิบดี
“เพื่อนร่วมชาติชาวฟิลิปปินส์ผู้หนึ่งเป็นผู้ริบเอาเสรีภาพต่างๆ ของพวกเราไป มันหมายความว่าถ้าหากเราไม่ตื่นตัวคอยระมัดระวังแล้ว เรื่องนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง” อากีโนกล่าวต่อ
เมื่อเดือนที่แล้วระหว่างที่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น อากีโนก็ได้ออกมาเตือนว่า ดูเตอร์เต ซึ่งเวลานั้นเป็นตัวเก็งที่จะชนะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสืบต่อจากตัวเขา เป็นคนที่อันตรายทำนองเดียวกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน
ดูเตอร์เตนั้นให้สัญญาที่จะกวาดล้างปราบปรามอาชญากรรมให้หมดสิ้นภายในเวลา 6 เดือนที่เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยที่จะสั่งการให้กองกำลังด้านความมั่นคง ทำการเข่นฆ่าผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรเป็นเรือนหมื่นคน จากนั้นก็จะให้อภัยโทษตัวเองหากเขาถูกสอบสวนตรวจสอบพบว่ามีความผิดฐานสังหารหมู่
ดูเตอร์เต ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดตั้งหน่วยล่าสังหารที่เข่นฆ่าผู้ต้องสงสัยเป็นอาชญากรแบบใช้อำนาจศาลเตี้ยไปไม่ต่ำกว่า 1,000 คนในเมืองดาเวา เมืองใหญ่ทางภาคใต้ของประเทศที่เขาเป็นนายกเทศมนตรีมายาวนาน
เขาคุยอวดอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าเขาเกี่ยวข้องพัวพันกับหน่วยล่าสังหารดังกล่าวนี้ แต่ในอีกหลายๆ โอกาสเขาก็ปฏิเสธบอกปัดว่าไม่มีส่วนยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย
ดูเตอร์เตยังเตือนด้วยว่า เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดีแล้ว เขาพร้อมที่จะปิดรัฐสภาและจัดตั้งคณะรัฐบาลปฏิวัติขึ้นมา ถ้าพวกสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติไม่ยอมรับรองนโยบายต่างๆ ของเขา
ในระหว่างการเลือกตั้งคราวนี้ บุตรชายคนเดียวของมาร์กอสซึ่งก็ใช้ชื่อว่า เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เช่นเดียวกันก็ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย และพ่ายแพ้ไปอย่างหวุดหวิด
สำหรับอากีโนนั้น แม้ได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน เนื่องจากผลงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศกลับมาเจริญเติบโตได้ใหม่ ทว่า ไม่สามารถลงสมัครแข่งขันเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นวาระ 2 ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขภายหลังยุคมาร์กอส ให้ดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศได้เพียงคนละสมัยเดียว สมัยละ 6 ปีเท่านั้น
“เวลานี้เรากำลังย่างเข้าสู่บทตอนใหม่ในประวัติศาสตร์ของพวกเรา ขอให้พวกเราอย่าได้หลงลืมว่าเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งซึ่งจักต้องคอยปกปักรักษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคุณค่าเป็นสิ่งซึ่งจักต้องทำงานเพื่อให้ได้มาและต่อสู้เพื่อให้ได้มา” อากีโนกล่าวในคำปราศรัยวันนี้ (12)
“ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้ปีศาจร้ายได้รับชัยชนะ ก็คือการที่คนดีๆ ไม่ลงมือทำอะไรเลย” เขากล่าวต่อ โดยอ้างอิงคำกล่าวซึ่งมีชื่อเสียงของ เอดมุนด์ เบิร์ก รัฐบุรุษชาวอังกฤษ