สร้างกระแสฮือฮาตั้งแต่ยังไม่เข้ารับตำแหน่งเลยทีเดียวสำหรับ “โรดริโก ดูเตอร์เต” ว่าที่ประธานาธิบดีขาโหดของฟิลิปปินส์ ซึ่งออกมาประกาศนโยบายที่สร้างความตกตะลึงทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้ใหม่ หรือการสนับสนุนให้ตำรวจกระทำวิสามัญฆาตกรรมอาชญากรที่ขัดขืนการจับกุม และที่น่าจับตาเป็นพิเศษก็คือท่าทีผ่อนปรนและผูกมิตรกับ “จีน” ที่ทำให้พี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ต้องหวั่นใจ
ดูเตอร์เต วัย 71 ปี ซึ่งรั้งเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองดาเวามาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ชนะศึกเลือกตั้งผู้นำแดนตากาล็อกอย่างถล่มทลายไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า กุญแจสำคัญที่ช่วยให้การหาเสียงของ ดูเตอร์เต ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็คือคำมั่นสัญญาที่ว่าจะกวาดล้างอาชญากรรมให้หมดไปภายใน 3-6 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งข้อนี้ถือว่าโดนใจชาวเมืองตากาล็อกที่ต่างเอือมระอากับปัญหาอาชญากรรมและการทุจริตรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ
นักการเมืองฝีปากกล้าผู้นี้ขู่จะสังหารอาชญากรในฟิลิปปินส์ให้ถึง 100,000 คน และจะเอาศพคนเหล่านั้นไปทิ้งในอ่าวมะนิลา “เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงปลาให้อ้วน” นอกจากนี้ ยังมีแผนรื้อฟื้นโทษประหารที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 2006 โดยคำสั่งของรัฐบาล กลอเรีย อาร์โรโย เพื่อนำมาเป็นบทลงโทษผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติด โจรข่มขืน ฆาตกร หรือพวกที่ปล้นชิงทรัพย์
เขาบอกว่าตนเองนั้นชอบการ “แขวนคอ” มากกว่าการยิงเป้า เพราะไม่อยาก “เปลืองกระสุน” ให้กับพวกคนผิด และเชื่อว่าการใช้ห่วงแขวนคอคนร้ายจนกระดูกสันหลังหักเป็นวิธีที่ “มีมนุษยธรรม”กว่า
“ในสังคมเราทุกวันนี้ การเคารพกฎหมายเป็นแค่ทางเลือกเท่านั้น... อย่าคิดทำลายประเทศของผม เพราะผมจะฆ่าคุณแน่ ผมจะฆ่าคุณ และไม่มีการประนีประนอมเด็ดขาด ตราบใดที่ยังมีกฎหมายอยู่ ถ้าคุณหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนการจับกุม และถ้าคุณต่อสู้หรือใช้ความรุนแรงต่อต้านเจ้าหน้าที่ ผมก็จะสั่งตำรวจว่า ฆ่ามันได้เลย ”
ดูเตอร์เต ระบุอีกว่า รัฐบาลของตนจะออกคำสั่งเคอร์ฟิวห้ามดื่มสุราในที่สาธารณะหลังเวลา 02.00 น. และห้ามเด็กๆ เดินถนนคนเดียวในเวลากลางดึก หากตำรวจไปพบเด็กเดินอยู่คนเดียวในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ปกครองจะถูกจับกุม และมีโทษจำคุกฐาน “ทอดทิ้งเด็ก”
ดูเตอร์เต จะเข้าพิธีสาบานตนในวันที่ 30 มิ.ย. เพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ซึ่งมีวาระ 6 ปี
ในด้านการต่างประเทศ เขาประกาศชัดเจนว่าต้องการ “เป็นมิตรกับทุกฝ่าย” และพร้อมที่จะเปิดเจรจาโดยตรงกับจีนเพื่อแก้ไขข้อพิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมานานหลายปี
เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงมะนิลาเป็นผู้แทนต่างประเทศ 1 ใน 3 คนแรกที่ ดูเตอร์เต เดินทางไปพบหลังชนะการเลือกตั้ง โดยอีก 2 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น และอิสราเอล ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนสำคัญที่สุดของฟิลิปปินส์ กลับไม่ได้รับเกียรติเช่นนี้
บอนนี เกลเซอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านเอเชียจากศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (Center for Strategic and International Studies - CSIS) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีวิทยุในสหรัฐฯ ว่า ดูเตอร์เต จะต้องเตรียมเผชิญภารกิจสุดหินในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศอย่างเต็มตัว
“เขาต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่นแน่นอน แต่ผมเชื่อว่า การผูกมิตรกับจีนก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน และเขาคงต้องหาวิธีจัดการสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด”
เกลเซอร์ ชี้ว่า จีนไม่ปรารถนาที่จะเห็นการจับกลุ่มเป็นพันธมิตรระหว่างชาติในเอเชีย และคงจะพยายามแทรกกลางระหว่างมะนิลากับวอชิงตันให้ได้มากที่สุด
รัฐบาลจีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งทรัพยากรและพลังงานขนาดใหญ่แล้ว ยังเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของโลก ซึ่งแต่ละปีจะมีสินค้าที่ถูกขนส่งทางเรือผ่านน่านน้ำแถบนี้เป็นมูลค่าถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ท้องทะเลแถบนี้ยังถูกอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนโดยรัฐบาลฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย ไต้หวัน และบรูไน
ไม่กี่ปีมานี้ จีนยังได้เข้าไปถมทะเลสร้างเกาะเทียมขึ้นบริเวณแนวปะการังพิพาท และได้สร้างทางวิ่งเครื่องบินที่สามารถใช้ประโยชน์ทางทหารไว้บนเกาะเทียมบางแห่งด้วย
เมื่อปี 2012 จีนได้เข้าควบคุมแนวปะการังสการ์โบโรซึ่งเป็นแหล่งปลาชุมที่อยู่ในแนวเขตเศรษฐกิจจำเพาะของฟิลิปปินส์ ซึ่งประธานาธิบดี เบนิโญ อากีโน ก็ได้ตอบโต้ด้วยการเซ็นข้อตกลงกลาโหมฉบับใหม่กับสหรัฐฯ และยังยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกเพื่อขอให้ช่วยตัดสินว่า การที่ปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้นั้นมีความชอบธรรมหรือไม่
กลยุทธ์แก้เผ็ดของ อากีโน สร้างความไม่พอใจต่อปักกิ่ง ซึ่งเรียกร้องให้มะนิลาแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า จีนไม่มีวันที่จะยอมสูญเสียดินแดนของตนไปอย่างแน่นอน
เกลเซอร์ ชี้ว่า แม้ชาวฟิลิปปินส์จะไม่พอใจที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ แต่พวกเขายังกังวลกับปัญหาภายในประเทศมากกว่า เช่น ความยากจน อาชญากรรม การทุจริตคอร์รัปชัน และสวัสดิการสังคมที่ไม่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งวิกฤตใกล้ตัวเหล่านี้เองที่ ดูเตอร์เต นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงจนประสบความสำเร็จ
ริชาร์ด เฮย์ดาเรียน อาจารย์จากมหาวิทยาลัย เดอ ลา ซาลล์ ในกรุงมะนิลา ได้เขียนไว้ในบทความที่เผยแพร่โดย CSIS โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลดูเตอร์เตจะยังคงแนบแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
“หน่วยงานด้านความมั่นคง สื่อมวลชน และประชากรฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ ยังคงให้ความศรัทธากับสหรัฐฯ อย่างมาก เพราะฉะนั้นไม่มีผู้นำฟิลิปปินส์คนไหนหรอกที่กล้าเสี่ยงกับกระแสต่อต้านจากสังคมอย่างรุนแรงด้วยการหันหลังให้วอชิงตัน”