เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.) FBI ส่งมือดำน้ำสำรวจแหล่งน้ำในทะเลสาบ เซกคอมบ์ (Seccombe) ที่คาดว่าอาจจะหาฮาร์ดไดรฟ์ของซายเอ็ด ฟารุก เจ้าหน้าที่ตรวจความสะอาดร้านอาหารสาธารณสุขแคลิฟอร์เนีย วัย 28 ปี และตัชฟีน มาลิก ชาวปากีสถานวัย 29 ปี ล่าสุดมีรายงานพบว่ากลุ่มก่อการร้าย อาทิ อัล-นุสราฟรอนต์ เครือข่ายอัลกออิดะห์ในซีเรีย ไม่รับการติดต่อจากมาลิก และในการเปิดเผยยังไม่พบว่ากลุ่มก่อการร้าย IS “รู้จัก” มาลิกหรือฟารุก สามีอิสลามิสต์ของเธอก่อนหน้านี้
เดอะการ์เดียน รายงานวันนี้ (11) ว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้เปิดเผยว่า มีการเชื่อว่า ตัชฟีน มาลิก ชาวปากีสถานวัย 29 ปี หนึ่งในมือปืนกราดยิงซานเบอร์นาดิโนเมื่อสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ถูกปฏิเสธการติดต่อจากกลุ่มก่อการร้ายซึ่งรวมไปถึงก่อการร้ายเครือข่ายอัลกออิดะห์ในซีเรีย อัล-นุสราฟรอนต์ โดยเชื่อว่า ทางกลุ่มก่อการร้ายอาจจะระวังเกรงว่า จะการติดต่อของเธออาจเป็นปฏิบัติการจากหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ
ทั้งนี้ สื่ออังกฤษเปิดเผยว่า จากการให้ข้อมูลของแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสหรัฐฯ พบว่า มาลิก ชาวปากีสถานที่เข้าสหรัฐฯ ด้วยวีซ่าคู่หมั้น K1 พบว่า ในขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาลิกพยายามติดต่อกลุ่มก่อการร้ายทั้งหมดกี่กลุ่ม หรือช่องทางที่ใช้การติดต่อกลุ่มเหล่านั้น แต่พบว่ามีการยืนยันได้ว่ามาลิกได้ทำการติดต่อกลุ่มก่อการร้ายอัล-นุสราฟรอนต์
โดยแหล่งข่าวเปิดเผยต่อว่า ทางการข่าวสหรัฐฯ เชื่อว่ากลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้นไม่รับการติดต่อจากภรรยาอิสลามิสต์ผู้นี้ อาจเพราะเกรงว่า อาจเป็นกลลวงของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในปฏิบัติการนอกเครื่องแบบการกวาดล้างของอเมริกา
และในการสอบสวน ยังพบว่า มีหลักฐานบ่งชี้น้อยมากที่จะชี้ลงไปอย่างเจาะจงว่า กลุ่มก่อการร้าย IS เคยมี “การติดต่อทางตรง” กับฟารุก สามีพลเมืองสหรัฐฯ หรือมาลิก มาก่อนเกิดเหตุ
ก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการ FBI สหรัฐฯ เจมส์ โคเมย์ (James Comey) ได้แถลงว่า คนทั้งคู่ (มาลิก และฟารุก) ได้ประกาศก่อนการกราดยิงว่า กระทำลงไปในนามของกลุ่มก่อการร้าย IS และหลังจากนั้นทางกลุ่มติดอาวุธออกแถลงการณ์สดุดีในการกระทำ โดยเรียกคนทั้งคู่ว่าเป็นคนของตนจากการที่ทำตัวเป็น Sleeper Cell ฝังตัวในสหรัฐฯ โดยเรียกมาลิกและฟารุกผ่านแถลงการณ์ที่ประกาศทางวิทยุออนไลน์ว่า “เป็นทหารของสาธารณรัฐอิสลาม”
แต่ทางแหล่งข่าวสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ให้เชื่อได้ว่ากลุ่มก่อการร้าย IS เคยรู้จักทั้งคู่ก่อนเกิดเหตุ
นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดี (10) โฆษก FBI ประจำลอสแองเจลิสได้ออกมายืนยันว่า มีการส่งทีมผู้เชี่ยวชาญดำน้ำจาก FBI และสำนักงานนายอำเภอซานเบอร์นาดิโนเคาน์ตี เพื่อไปค้นหาฮาร์ดไดร์ฟที่ถูกทิ้งในบริเวณทะเลสาบทะเลสาบ เซกคอมบ์ (Seccombe) ซึ่งเป็นวนอุทยานประจำรัฐที่ตั้งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุศูนย์นันทนาการประจำซานเบอร์นาดิโนห่างไปทางเหนือราว 4 กม.
โดยเชื่อว่าฮาร์ดไดร์ฟที่ว่านี้เป็นของสามีภรรยาอิสลามืสต์มือกราดยิงที่ได้นำมาทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่า ฟารุก พลเมืองสหรัฐฯ เริ่มเป็นอิสลามิสต์ต้องการก่อการร้ายก่อนปี 2013 หรือไม่ ซึ่งจากหลักฐานที่ปรากฏพบว่าพลเมืองสหรัฐฯ เกิดในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ผู้นี้มีการพูดจาในเรื่องก่อการร้ายกับมาลิกทางอินเทอร์เน็ต ในปี 2013 และด้วยเหตุนี้หรือไม่ ที่นำมาสู่การวางแผนเพื่อโจมตีในปี 2012
โดยพบว่าเอ็นริเก มาร์เกวซ เพื่อนสนิท และมีศักดิ์เป็นญาติของฟารุกและฟารุกเตรียมตัวจะก่อเหตุก่อการร้ายสหรัฐฯในปีนั้น (2012) ซึ่งรวมไปถึงการสะสมซื้อปืนไรเฟิล 223-caliber DPMS รุ่น AR-15 และปืนไรเฟิล สมิธและเวสสัน M&P15ภายใต้ชื่อของมาร์เกวซ แต่อย่างไรก็ตาม คนทั้งคู่ไม่ได้ลงมือตามแผนที่วางไว้เพราะการเข้มงวดของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว รวมไปถึงการตรวจจับถี่ยิบ อ้างอิงจากแหล่งข่าวสหรัฐฯ 2 คนที่อยู่ใกล้ชิดในการสอบสวนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ว่า ฟารุกก่อเหตุก่อการร้ายในดินแดนสหรัฐฯ พร้อมกับหญิงอิสลามิสต์ต่างชาติที่นำตัวเข้าประเทศโดยผ่านการแต่งงาน และยังพบคนที่อยู่รอบตัวของเขาเกี่ยวข้องกับหญิงต่างชาติ และนำตัวคนเหล่านั้นเข้าประเทศด้วยวิธีการแต่งงานทั้งสิ้น
โดยพบว่า เอ็นริเก มาร์เกวซ คนร้ายวัย 24 ปี ที่มีชื่อในฐานะผู้ซื้อปืนไรเฟิล 2 กระบอก 223-caliber DPMS รุ่น AR-15 และปืนไรเฟิล สมิธและเวสสัน M&P15 4 ปีก่อนหน้านี้ และถูกใช้เป็นอาวุธสังหารใช้ในการก่อการร้ายซานเบอร์นาดิโน และทำให้มีคนเสียชีวิต 14 คน บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เกี่ยวข้องกับหญิงต่างชาติโดยการแต่งงานเช่นกัน โดยเขาแต่งงานกับมารียา เชอร์นีก (Mariya Chernykh) หรือภายใต้ชื่อ มาริยา กิกกลิออตติ (Mariya Gigliotti) หญิงต่างชาติชาวรัสเซีย ซึ่งเป็นน้องสาวของ ทาเทียนา เชอร์นีก หญิงต่างชาติชาวรัสเซียที่ถูกนำเข้าสหรัฐฯ ผ่านการแต่งงานกับพี่ชายฟารุก ซายเอ็ด ราฮีล ฟารุก (Syed Raheel Farook) ซึ่งเป็นอดีตทหารเรือสหรัฐฯ ซึ่งทำงานรับใช้ชาติในปี 2003-2007 และยังเคยได้รับเหรียญกล้าหาญสดุดีในวีรกรรมมาแล้ว
ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า มาร์เกวซไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมบ้านกับภรรยาชาวรัสเซียถึงแม้คนทั้งคู่จะใช้ที่อยู่ที่เดียวกัน โดยการเปิดเผยจากนิวยอร์ก เดลี ในพฤหัสบดี (10) พบว่า ดูเหมือนว่า มารียาจะอาศัยอยู่กับ ออสการ์ โรเมโร (Oscar Romero) ซึ่งสื่อสหรัฐฯ ระบุว่าหลังเกิดเหตุกราดยิงมาร์เกวซได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลทางจิตด้วยตัวเองเพื่อขอรับการรักษาที่นั่น