เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยถ่ายทอดสดจากห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวเมื่อช่วงหัวค่ำวานนี้ (6 ธ.ค.) โดยยืนยันว่า รัฐบาลของเขาจะตามล่าทุกคนที่มีแผนโจมตีสหรัฐฯ พร้อมเรียกร้องให้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่แห่ง “ซิลิคอนแวลลีย์” ช่วยกันติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธที่อาจใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือช่องทางสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ วางแผนก่อเหตุร้าย ในขณะที่ชาวอเมริกันต่างหวาดผวาการเติบโตของลัทธิหัวรุนแรงในสหรัฐฯ หลังเกิดเหตุกราดยิง 14 ศพที่รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในการปราศรัยช่วงเวลาไพรม์ไทม์ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก โอบามา พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน หลังมีกระแสวิจารณ์ว่ารัฐบาลของเขาไม่มีมาตรการที่ดีพอในการปกป้องอเมริกาจากแผนโจมตีของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส)
อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ระบุว่า วอชิงตันจะมีการ “ปรับยุทธศาสตร์” ครั้งใหญ่เพื่อตอบสนองภัยคุกคามเหล่านี้หรือไม่
“ผมเข้าใจดีว่า หลังจากที่เราผ่านสงครามมามากมาย ชาวอเมริกันคงกำลังตั้งคำถามว่า เรากำลังเผชิญหน้ากับมะเร็งร้ายที่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดทันทีใช่หรือไม่”
“ภัยคุกคามจากลัทธิก่อการร้ายเป็นเรื่องจริง แต่เราจะเอาชนะมันได้ในที่สุด... เราจะทำลายไอเอส และองค์กรก่อการร้ายอื่นๆ ที่ต้องการโจมตีเรา ทหารของเราจะยังคงตามล่าพวกที่วางแผนก่อการร้ายในทุกๆ ประเทศเมื่อมีความจำเป็น”
การปราศรัยพิเศษของ โอบามา มีขึ้นเพียง 4 วัน หลังจาก ซายเอ็ด ริซวาน ฟารุก วัย 28 ปี ได้สมคบคิดกับภรรยาเชื้อสายปากีสถาน ตัชฟีน มาลิก วัย 29 ปี ถืออาวุธปืนเข้าไปกราดยิงผู้คนในงานปาร์ตี้ซึ่งจัดขึ้นภายในอาคารของศูนย์พัฒนาผู้พิการในเมืองซานเบอร์นาดิโน เมื่อวันพุธที่แล้ว (2 ธ.ค.) จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บอีก 21 คน ขณะที่สองผัวเมียก็ยิงต่อสู้กับตำรวจจนถูกวิสามัญทั้งคู่
โอบามา ประณามการกราดยิงครั้งนี้ว่าเป็น “การก่อการร้ายที่มุ่งสังหารผู้บริสุทธิ์” แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อเมริกาเข้าสู่ “ขั้นตอนใหม่” ในการทำสงครามต่อต้านอิสลามิสต์
“พวกเขาเดินเข้าสู่หนทางมืดมนแห่งความสุดโต่ง รับเอาการตีความอิสลามแบบผิดๆ ที่เรียกร้องให้มุสลิมต้องทำสงครามกับอเมริกาและชาติตะวันตก”
“พวกเขาสะสมอาวุธหนัก กระสุนปืน และระเบิดท่อไว้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นนี่คือการก่อการร้าย”
นักรบสุหนี่ไอเอสยึดเมืองสำคัญในอิรักและซีเรียไว้ได้อย่างกว้างขวางตั้งแต่ปีที่แล้ว และกำลังขยายอิทธิพลออกนอกภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการมีส่วนพัวพันกับเหตุวินาศกรรมหลายจุดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 130 ราย
อย่างไรก็ตาม โอบามา ยืนยันว่า ทางการยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าเหตุกราดยิงที่เมืองซานเบอร์นาดิโนเป็น “คำสั่ง” จากต่างแดน หรือเป็นส่วนหนึ่งของแผนโจมตีที่กว้างขว้างยิ่งกว่านี้ พร้อมเตือนชาวอเมริกันอย่าตื่นตระหนกกับภัยก่อการร้ายในบ้านเกิดมากจนเกินควร
“เราไม่ควรหันมาโจมตีกันเองด้วยการนิยามการต่อสู้ครั้งนี้ว่าเป็นสงครามระหว่างอเมริกากับอิสลาม เพราะนั่นก็คือสิ่งที่พวกไอเอสต้องการ” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว โดยพาดพิงนัยๆ ถึงคำพูดของมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครตัวเก็งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นพวกเกลียดกลัวมุสลิม
“ไอเอสไม่ได้เผยแพร่หลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง พวกเขาเป็นแค่นักเลงและฆาตกร เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิคลั่งความตายเท่านั้น” โอบามา กล่าว
“ถ้าจะปราบลัทธิก่อการร้ายให้สำเร็จ เราต้องดึงชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุด ไม่ใช่ผลักไสพวกเขาด้วยความรู้สึกหวาดระแวงและเกลียดชัง”
อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่า ชาวมุสลิมเองก็ต้องช่วยขจัดแนวคิดสุดโต่งให้หมดไปด้วย
“แนวคิดสุดโต่งถูกเผยแพร่ในชุมชนมุสลิมบางกลุ่ม นี่คือปัญหาแท้จริงซึ่งชาวมุสลิมต้องกล้าเผชิญหน้าอย่างไม่มีข้อแก้ตัว”
“ผู้นำมุสลิมในสหรัฐฯ และทั่วโลกต้องทำงานร่วมกับเราอย่างเด็ดเดี่ยว ต้องปฏิเสธแนวคิดสร้างความเกลียดชังอย่างที่ไอเอสและอัลกออิดะห์พยายามส่งเสริม และไม่เพียงออกมาประณามความรุนแรงเท่านั้น แต่ต้องคัดค้านการตีความอิสลามแบบผิดเพี้ยนที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของการยอมรับความเชื่อที่แตกต่าง การเคารพซึ่งกันและกัน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
โอบามา ยังขอร้องให้ชาวอเมริกันหยุดแบ่งแยกกีดกันชาวมุสลิม
“ในขณะที่มุสลิมทั่วโลกมีหน้าที่ต้องขจัดแนวคิดหลงผิดซึ่งทำไปสู่การนับถือศาสนาแบบสุดโต่ง ชาวอเมริกันทุกคน ทุกความเชื่อ ก็ต้องขจัดการแบ่งแยกกีดกันให้หมดไปด้วย”
“เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปฏิเสธการเลือกรับหรือไม่รับคนศาสนาใดเข้าประเทศ ต้องไม่เอาข้อเสนอให้ปฏิบัติต่อชาวอเมริกันมุสลิมอย่างแตกต่าง... เพราะการแบ่งแยกเช่นนี้เท่ากับทรยศต่อค่านิยมของอเมริกา และเข้าทางกลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอส”
โอบามา ยังขอให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระทรวงการต่างประเทศทบทวนเงื่อนไขของโครงการวีซาคู่หมั้น (K-1 fiance visa) ซึ่ง ตัชฟีน มาลิก เคยใช้สิทธิ์นี้เดินทางเข้ามายังสหรัฐฯ เพื่อเตรียมตัวแต่งงานกับ ฟารุก ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน
วีซาประเภทนี้จะออกให้แก่ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าแผ่นดินสหรัฐฯ เพื่อสมรสกับชาวอเมริกัน โดยในปี 2014 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกวีซาคู่หมั้นให้แก่ชาวต่างประเทศถึง 36,000 ราย
ในส่วนของกฎหมายควบคุมอาวุธปืน ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า “สภาคองเกรสต้องหาวิธีรับรองว่าบุคคลที่ถูกขึ้นบัญชีห้ามบิน (no-fly list) จะไม่สามารถซื้อปืนได้ อะไรหรือที่เป็นข้ออ้างให้ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายสามารถซื้อปืนกึ่งอัตโนมัติ? นี่เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ... นอกจากนี้ เรายังต้องทำให้การหาซื้ออาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงอย่างที่ถูกใช้ในเมืองซานเบอร์นาดิโน ทำได้ยากขึ้น”
วอชิงตันยังมีแผนที่จะขอความร่วมมือจากบริษัทด้านเทคโนโลยีให้ช่วยจับตาการสื่อสารที่ไม่ชอบมาพลกล เพื่อสกัดแผนก่อเหตุรุนแรงในประเทศ แม้นโยบายเช่นนี้อาจจุดประเด็นวิพากษ์เรื่องความมั่นคงกับสิทธิส่วนบุคคลก็ตาม
“ผมขอฝากไปยังผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ให้ช่วยป้องกันไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลบหนีกระบวนการยุติธรรม” โอบามา กล่าว
เจ้าหน้าที่อาวุโสในทำเนียบขาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์วานนี้ (6) ว่า สหรัฐฯ ต้องการให้บริษัทไอทีมีมาตรการจำกัดการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อโปรโมตความรุนแรง โดยเตรียมที่จะหารือกับภาคเทคโนโลยีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า “เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนว่า เมื่อไหร่ที่เราจะตัดสินว่าสื่อสังคมออนไลน์กำลังถูกใช้เพื่อสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายในทางปฏิบัติ และอย่างจริงจัง”
โอบามา กล่าวย้ำอีกครั้งว่า สหรัฐฯ “จะไม่เข้าไปทำสงครามภาคพื้นดินในอิรักและซีเรีย ซึ่งอาจยืดเยื้อและสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกไอเอสต้องการจะเห็น”
“พวกเขารู้ดีว่าเอาชนะเราไม่ได้ และรู้อีกเช่นกันว่า ถ้าสหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปยึดครองดินแดนต่างชาติ พวกเขาก็จะสามารถใช้กลยุทธ์ก่อความไม่สงบต่อไปได้อีกนานหลายปี ซึ่งจะบั่นทอนทรัพยากรของเราไปเรื่อยๆ และทำให้ทหารอเมริกันต้องล้มตายอีกหลายพันนาย และพวกเขาก็จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างชักชวนชาวมุสลิมเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก”