เจ้าหน้าที่สหรัฐเชื่อมือปืน 14 ศพมีแผนก่อเหตุหลายจุด พบอาวุธเพียบ อาจเชื่อมโยงงบอัดฉีดจากลุ่มไอเอส ขณะที่ “โอบามา” ปราศรัยใหญ่ออกทีวี วอนมุสลิมร่วมสู้ลัทธิสุดโต่ง
รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนอเมริกันมั่นใจมากขึ้นว่า สองมือปืนที่ก่อเหตุในแคลิฟอร์เนียวางแผนโจมตีเป้าหมายอื่นๆ ด้วย โดยอ้างอิงอาวุธมากมายที่ตรวจค้นได้ แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่าทีมสอบสวนเชื่อว่า คลังอาวุธที่ทัชฟีน มาลิค วัย 29 ปี และสามี ไซเอ็ด ริซวาน ฟารุค วัย 28 ปี แอบซ่อนไว้ บ่งชี้ว่า อาจมีการโจมตีเพิ่ม
สามีภรรยาคู่นี้บุกเข้าไปในงานเลี้ยงคริสต์มาสของหน่วยงานที่ฟารุคทำงานอยู่ในซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพุธที่แล้ว (2) และใช้ปืนไรเฟิลจู่โจมกราดยิง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทั้งคู่ถูกวิสามัญฆาตกรรมขณะยิงต่อสู้กับตำรวจ ทางการสหรัฐฯ กำลังพยายามสืบสาวว่า มาลิคติดต่อกับกลุ่มนักรบอิสลามในปากีสถานหรือซาอุดีอาระเบียที่เธอเติบโตมาหรือไม่
โดยญาติห่างๆ ของมาลิคในปากีสถานบอกว่า เธอละทิ้งแนวทางอิสลามสายกลางของครอบครัวและเข้าสู่กระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเธอย้ายไปอยู่ตั้งแต่ยังแบเบาะ
ไมเคิล แม็กคอล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาล่าง สังกัดพรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์ ”ฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ว่า เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรง และอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงของฟารุคภายในอเมริกา
แต่ยังไม่มีความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างคนคู่นี้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่อ้างว่า มาลิคและฟารุคเป็น “สาวก” แต่อย่างน้อยอาจกล่าวได้ว่า ไอเอสเป็นแรงบันดาลใจในการโจมตี และเชื่อว่า มาลิคประกาศสวามิภักดิ์กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้บนหน้าเฟซบุ๊กก่อนลงมือก่อเหตุเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว
"เรากำลังตรวจสอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อค้นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างไอเอสในรักกาของซีเรีย และในอเมริกา รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ฟารุคมีปืนกึ่งอัตโนมัติจำนวนมาก กระสุนเป็นร้อยนัด และระเบิดท่อ ซึ่งไม่น่าหาซื้อได้จากเงินเดือนที่มีอยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า สามีภรรยาคู่นี้ได้รับเงินอัดฉีดจากกลุ่มก่อการร้าย"
ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา กล่าวว่า คดีนี้สะท้อนความยากลำบากในการตรวจสอบผู้ก่อการโจมตีที่บ่มเพาะแนวคิดนิยมความรุนแรงด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงที่มีมาก่อนไอเอสและจะคงอยู่หลังจากไอเอสล่มสลายไปแล้ว
ด้านประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยถ่ายทอดสดจากห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 6 ธ.ค. โดยยืนยันว่า รัฐบาลของเขาจะตามล่าทุกคนที่มีแผนโจมตีสหรัฐฯ โอบามา พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน หลังมีกระแสวิจารณ์ว่ารัฐบาลของเขาไม่มีมาตรการที่ดีพอในการปกป้องอเมริกาจากแผนโจมตีของกลุ่มไอเอส
ประธานาธิบดีสหรัฐประณามการกราดยิง 14 ศพ ว่าเป็น “การก่อการร้ายที่มุ่งสังหารผู้บริสุทธิ์” แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อเมริกาเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ ในการทำสงครามต่อต้านอิสลามิสต์
“พวกเขาเดินเข้าสู่หนทางมืดมนแห่งความสุดโต่ง รับเอาการตีความอิสลามแบบผิดๆ ที่เรียกร้องให้มุสลิมต้องทำสงครามกับอเมริกาและชาติตะวันตก พวกเขาสะสมอาวุธหนัก กระสุนปืน และระเบิดท่อไว้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นนี่คือการก่อการร้าย”
“เราไม่ควรหันมาโจมตีกันเองด้วยการนิยามการต่อสู้ครั้งนี้ว่าเป็นสงครามระหว่างอเมริกากับอิสลาม เพราะนั่นก็คือสิ่งที่พวกไอเอสต้องการ” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว โดยพาดพิงนัยๆ ถึงคำพูดของมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครตัวเก็งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นพวกเกลียดกลัวมุสลิม
“ไอเอสไม่ได้เผยแพร่หลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง พวกเขาเป็นแค่นักเลงและฆาตกร เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิคลั่งความตายเท่านั้น ถ้าจะปราบลัทธิก่อการร้ายให้สำเร็จ เราต้องดึงชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุด” โอบามากล่าวและย้ำว่า ชาวมุสลิมเองก็ต้องช่วยขจัดแนวคิดสุดโต่งให้หมดไปด้วย เพราะนี่คือปัญหาแท้จริงซึ่งชาวมุสลิมต้องกล้าเผชิญหน้าอย่างไม่มีข้อแก้ตัว
“เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปฏิเสธการเลือกรับหรือไม่รับคนศาสนาใดเข้าประเทศ ต้องไม่เอาข้อเสนอให้ปฏิบัติต่อชาวอเมริกันมุสลิมอย่างแตกต่าง... เพราะการแบ่งแยกเช่นนี้เท่ากับทรยศต่อค่านิยมของอเมริกา และเข้าทางกลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอส”.
รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนอเมริกันมั่นใจมากขึ้นว่า สองมือปืนที่ก่อเหตุในแคลิฟอร์เนียวางแผนโจมตีเป้าหมายอื่นๆ ด้วย โดยอ้างอิงอาวุธมากมายที่ตรวจค้นได้ แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่าทีมสอบสวนเชื่อว่า คลังอาวุธที่ทัชฟีน มาลิค วัย 29 ปี และสามี ไซเอ็ด ริซวาน ฟารุค วัย 28 ปี แอบซ่อนไว้ บ่งชี้ว่า อาจมีการโจมตีเพิ่ม
สามีภรรยาคู่นี้บุกเข้าไปในงานเลี้ยงคริสต์มาสของหน่วยงานที่ฟารุคทำงานอยู่ในซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพุธที่แล้ว (2) และใช้ปืนไรเฟิลจู่โจมกราดยิง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทั้งคู่ถูกวิสามัญฆาตกรรมขณะยิงต่อสู้กับตำรวจ ทางการสหรัฐฯ กำลังพยายามสืบสาวว่า มาลิคติดต่อกับกลุ่มนักรบอิสลามในปากีสถานหรือซาอุดีอาระเบียที่เธอเติบโตมาหรือไม่
โดยญาติห่างๆ ของมาลิคในปากีสถานบอกว่า เธอละทิ้งแนวทางอิสลามสายกลางของครอบครัวและเข้าสู่กระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเธอย้ายไปอยู่ตั้งแต่ยังแบเบาะ
ไมเคิล แม็กคอล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาล่าง สังกัดพรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์ ”ฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ว่า เธอมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรง และอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงของฟารุคภายในอเมริกา
แต่ยังไม่มีความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างคนคู่นี้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่อ้างว่า มาลิคและฟารุคเป็น “สาวก” แต่อย่างน้อยอาจกล่าวได้ว่า ไอเอสเป็นแรงบันดาลใจในการโจมตี และเชื่อว่า มาลิคประกาศสวามิภักดิ์กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้บนหน้าเฟซบุ๊กก่อนลงมือก่อเหตุเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว
"เรากำลังตรวจสอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อค้นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างไอเอสในรักกาของซีเรีย และในอเมริกา รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ฟารุคมีปืนกึ่งอัตโนมัติจำนวนมาก กระสุนเป็นร้อยนัด และระเบิดท่อ ซึ่งไม่น่าหาซื้อได้จากเงินเดือนที่มีอยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า สามีภรรยาคู่นี้ได้รับเงินอัดฉีดจากกลุ่มก่อการร้าย"
ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา กล่าวว่า คดีนี้สะท้อนความยากลำบากในการตรวจสอบผู้ก่อการโจมตีที่บ่มเพาะแนวคิดนิยมความรุนแรงด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงที่มีมาก่อนไอเอสและจะคงอยู่หลังจากไอเอสล่มสลายไปแล้ว
ด้านประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยถ่ายทอดสดจากห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 6 ธ.ค. โดยยืนยันว่า รัฐบาลของเขาจะตามล่าทุกคนที่มีแผนโจมตีสหรัฐฯ โอบามา พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน หลังมีกระแสวิจารณ์ว่ารัฐบาลของเขาไม่มีมาตรการที่ดีพอในการปกป้องอเมริกาจากแผนโจมตีของกลุ่มไอเอส
ประธานาธิบดีสหรัฐประณามการกราดยิง 14 ศพ ว่าเป็น “การก่อการร้ายที่มุ่งสังหารผู้บริสุทธิ์” แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อเมริกาเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ ในการทำสงครามต่อต้านอิสลามิสต์
“พวกเขาเดินเข้าสู่หนทางมืดมนแห่งความสุดโต่ง รับเอาการตีความอิสลามแบบผิดๆ ที่เรียกร้องให้มุสลิมต้องทำสงครามกับอเมริกาและชาติตะวันตก พวกเขาสะสมอาวุธหนัก กระสุนปืน และระเบิดท่อไว้เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นนี่คือการก่อการร้าย”
“เราไม่ควรหันมาโจมตีกันเองด้วยการนิยามการต่อสู้ครั้งนี้ว่าเป็นสงครามระหว่างอเมริกากับอิสลาม เพราะนั่นก็คือสิ่งที่พวกไอเอสต้องการ” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว โดยพาดพิงนัยๆ ถึงคำพูดของมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครตัวเก็งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นพวกเกลียดกลัวมุสลิม
“ไอเอสไม่ได้เผยแพร่หลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง พวกเขาเป็นแค่นักเลงและฆาตกร เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิคลั่งความตายเท่านั้น ถ้าจะปราบลัทธิก่อการร้ายให้สำเร็จ เราต้องดึงชุมชนมุสลิมเข้ามาเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุด” โอบามากล่าวและย้ำว่า ชาวมุสลิมเองก็ต้องช่วยขจัดแนวคิดสุดโต่งให้หมดไปด้วย เพราะนี่คือปัญหาแท้จริงซึ่งชาวมุสลิมต้องกล้าเผชิญหน้าอย่างไม่มีข้อแก้ตัว
“เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องปฏิเสธการเลือกรับหรือไม่รับคนศาสนาใดเข้าประเทศ ต้องไม่เอาข้อเสนอให้ปฏิบัติต่อชาวอเมริกันมุสลิมอย่างแตกต่าง... เพราะการแบ่งแยกเช่นนี้เท่ากับทรยศต่อค่านิยมของอเมริกา และเข้าทางกลุ่มติดอาวุธอย่างไอเอส”.