รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่สอบสวนอเมริกันมั่นใจมากขึ้นว่าสองมือปืนที่ก่อเหตุในแคลิฟอร์เนียวางแผนโจมตีเป้าหมายอื่นๆ ด้วย โดยอ้างอิงอาวุธมากมายที่ตรวจค้นได้ นอกจากนั้นยังกำลังแกะรอยว่า ภรรยาชาวปากีสถานเกี่ยวข้องกับการล้างสมองสามีให้หันมานิยมชมชอบลัทธิหัวรุนแรงหรือไม่
แหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่าทีมสอบสวนเชื่อว่า คลังอาวุธที่ทัชฟีน มาลิค วัย 29 ปี และสามี ไซเอ็ด ริซวาน ฟารุค วัย 28 ปี แอบซ่อนไว้ บ่งชี้ว่าอาจมีการโจมตีเพิ่ม อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ยังไม่พบหลักฐานเป้าหมายการโจมตีอื่นๆ ที่เป็นไปได้
สามีภรรยาคู่นี้บุกเข้าไปในงานเลี้ยงคริสต์มาสของหน่วยงานที่ฟารุคทำงานอยู่ในซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพุธที่แล้ว (2) และใช้ปืนไรเฟิลจู่โจมกราดยิง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทั้งคู่ถูกวิสามัญฆาตกรรมขณะยิงต่อสู้กับตำรวจ
ทางการสหรัฐฯ กำลังพยายามสืบสาวว่า มาลิคติดต่อกับกลุ่มนักรบอิสลามในปากีสถานหรือซาอุดีอาระเบียที่เธอเติบโตมาหรือไม่
นอกจากนั้นยังขาดหลักฐานที่ชัดเจนว่า มาลิคถูกชักนำเข้าสู่กระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงขณะอยู่ในต่างประเทศ หรือเธอเองที่ชักนำสามีเข้าสู่กระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรง
เจ้าหน้าที่สอบสวนเหตุกราดยิงนี้โดยถือเป็นคดีก่อการร้าย โดยในวันอาทิตย์ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ปราศรัยเพื่อสรุปแนวทางการรับมือภัยคุกคามจากการก่อการร้ายอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ญาติห่างๆ ของมาลิคในปากีสถานบอกว่า เธอละทิ้งแนวทางอิสลามสายกลางของครอบครัวและเข้าสู่กระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเธอย้ายไปอยู่ตั้งแต่ยังแบเบาะ
มาลิคเดินทางกลับปากีสถานและเข้าเรียนสาขาเภสัชที่มหาวิทยาลัยบาฮุดดิน ซากาเรียในมูลตาน นับจากปี 2007-2012
ไมเคิล แม็กคอล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสภาล่าง สังกัดพรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์ ”ฟ็อกซ์ นิวส์ ซันเดย์” ว่า เจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนว่า มาลิคทำอะไรในปากีสถานและซาอุดีฯ
“เราคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรง และอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่มีแนวคิดหัวรุนแรงของฟารุคภายในอเมริกา” แม็กคอลกล่าว พร้อมระบุว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนกำลังตรวจสอบว่ามาลิคเอาเงินจากไหนไปซื้ออาวุธ
ลอเร็ตตา ลินช์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ เผยว่า ทางการไม่มีหลักฐานว่า มือปืนคู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายก่อการร้ายขนาดใหญ่ แต่กำลังร่วมกับหน่วยงานสืบสวนของประเทศต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนคู่นี้ ทั้งก่อนและหลังที่ทั้งคู่พบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มาลิคเดินทางเข้าสู่อเมริกา เพื่อค้นหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา
ด้านแม็กคอลสำทับว่า ยังไม่มีความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างคนคู่นี้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่อ้างว่า มาลิคและฟารุคเป็น “สาวก” แต่อย่างน้อยอาจกล่าวได้ว่า ไอเอสเป็นแรงบันดาลใจในการโจมตี และเชื่อว่า มาลิคประกาศสวามิภักดิ์กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้บนหน้าเฟซบุ๊กก่อนลงมือก่อเหตุเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว
แม็กคอลยังบอกอีกว่า กำลังตรวจสอบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อค้นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างไอเอสในรักกาของซีเรีย และในอเมริกา รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ฟารุคมีปืนกึ่งอัตโนมัติจำนวนมาก กระสุนเป็นร้อยนัด และระเบิดท่อ ซึ่งไม่น่าหาซื้อได้จากเงินเดือนที่มีอยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ได้รับเงินอัดฉีดจากกลุ่มก่อการร้าย
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยอมรับว่า ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชายหญิงคู่นี้ก่อนเหตุโจมตี นอกจากการตรวจสอบตามปกติที่เกี่ยวข้องกับสถานะการเข้าเมืองของมาลิค
ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา กล่าวว่า คดีนี้สะท้อนความยากลำบากในการตรวจสอบผู้ก่อการโจมตีที่บ่มเพาะแนวคิดนิยมความรุนแรงด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างแท้จริงที่มีมาก่อนไอเอสและจะคงอยู่หลังจากไอเอสล่มสลายไปแล้ว