เอเจนซีส์ - สื่อต่างชาติประโคมข่าวช่างภาพชาวฮ่องกงถูกจับกุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ฐานพกเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนเข้ามายังประเทศไทยเพื่อทำข่าวเหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า แอนโทนี กวาน ฮก-ชุน ช่างภาพของบริษัท อินิเทียม มีเดีย ซึ่งมีฐานในฮ่องกง ถูกตำรวจควบคุมตัวขณะกำลังจะเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อบ่ายวานนี้ (23 ส.ค.)
“ผมยังอยู่ที่สถานีตำรวจในสนามบิน” เขาส่งข้อความให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
“เท่าที่ทราบตอนนี้คือ ผมคงจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล”
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า กวาน เตรียมเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครด้วยเที่ยวบิน TG602 ของการบินไทย โดยเก็บเสื้อเกราะเอาไว้ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องบิน
ผู้สื่อข่าวทั่วโลกหลั่งไหลมายังกรุงเทพมหานครเพื่อติดตามสถานการณ์ หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ส.ค. ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศเอเชีย
เหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานครส่งผลกระเทือนถึงการท่องเที่ยวซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ตำรวจกำลังเร่งสืบหาข้อมูลเพื่อระบุเอกลักษณ์ของคนร้ายที่คาดว่าปฏิบัติการเป็นทีม ทว่าขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับผู้ใด
แอนนี จาง บรรณาธิการบริหารของอินิเทียม เผยกับเซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ว่า ทางบริษัทได้ว่าจ้างทนายในกรุงเทพมหานครเพื่อช่วยเหลือ กวาน ในเรื่องคดีความแล้ว และกำลังจะส่งเจ้าหน้าที่มายังประเทศไทย
“เราคงยังพูดอะไรมากไม่ได้เพราะเรื่องถึงชั้นศาลแล้ว แต่บริษัทก็มีความกังวลมาก” จาง กล่าว
ชัม อี้-หลัน ประธานสมาคมนักหนังสือพิมพ์ฮ่องกง เอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “เรื่องร้ายแรง” พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดทางการไทยจึงเอาผิดกับสื่อมวลชนที่พกอุปกรณ์ป้องกันตนเอง
“มันเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับนักข่าวสายสงครามที่จะพกอุปกรณ์เหล่านี้ และมันก็ไม่ใช่อาวุธ... การจับกุม กวาน จึงไม่มีเหตุอันสมควรเลย” เธอกล่าว
ทางสมาคมได้ประสานไปยังสำนักงานความมั่นคงฮ่องกง (Security Bureau) เพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว
ด้านสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ก็ได้ออกคำแถลงวิจารณ์การจับกุม กวาน พร้อมระบุว่า ทางสมาคมได้รับทราบมาว่าผู้สื่อข่าวฮ่องกงรายนี้จะถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร
“เขาถูกตั้งข้อหามีอาวุธผิดกฎหมายในครอบครอง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี และจะถูกไต่สวนความผิดในศาลทหาร” คำแถลงของ FCCT วันนี้(24) ระบุ
“เสื้อเกราะและหมวกที่ผู้สื่อข่าวสวมใส่ขณะปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่อาวุธร้ายแรง และไม่สมควรถูกปฏิบัติเสมือนว่าเป็นอาวุธประเภทนั้น”
ทางตำรวจยังไม่ตอบรับคำขอสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าว เมื่อเช้าวันนี้ (24)
เอเอฟพี ระบุว่า อุปกรณ์ป้องกันตนเองที่ผู้สื่อข่าวทั่วโลกใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น หน้ากากกันแก๊สพิษ เสื้อเกราะ และหมวกกันกระสุน ถูกจัดเป็น “อาวุธ” ที่จะต้องมีใบอนุญาตครอบครอง ตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน และกฎหมายควบคุมยุทธภัณฑ์ของไทย
แม้ไทยจะเคยผ่านเหตุการณ์ประท้วงนองเลือดมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงปัญหากลุ่มก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังแก้ไม่ตก แต่รัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องของสื่อมวลชนที่ต้องการให้รัฐอนุญาตการพกพาอุปกรณ์ป้องกันตนเองขณะออกรายงานข่าวในพื้นที่เสี่ยง
จนถึงขณะนี้ ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนยังไม่มีสิทธิ์พกอุปกรณ์ป้องกันตนเอง หากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ
เอเอฟพี ชี้ว่า ผู้ชุมนุมทั้งฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดงมีการนำเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนมาสวมใส่ระหว่างเกิดเหตุจลาจลทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนผู้สื่อข่าวได้รับอนุญาตให้สวมเครื่องป้องกันได้เฉพาะเวลาที่มีสถานการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น