xs
xsm
sm
md
lg

“กอร์บาชอฟ” อดีตผู้นำโซเวียตออกมาอัดสหรัฐฯ “เป็นประเทศเดียวในโลกที่กระหายแสนยานุภาพทางทหาร จะมีความสุขมากที่รู้ว่าโลกนี้ปลอดอาวุธนิวเคลียร์จากคู่แข่ง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ดีลนิวเคลียร์อิหร่านยังไม่จบหลังผู้นำสหรัฐฯ ออกมาประกาศ หากไม่มีข้อตกลงนี้ ทางเลือกอื่นคือ “สงคราม” ล่าสุดอดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟให้สัมภาษณ์กับสื่อรายสัปดาห์เยอรมัน แดชปีกัลออกมาประณามสหรัฐฯ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการที่โลกนี้จะปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเมื่อโบรกเกอร์ของการเจรจากลับเป็นประเทศที่มีงบประมาณการทหารสูงสุดเกือบเท่ากับทุกประเทศรวมกัน และมีหัวรบนิวเคลียร์ตลอดจนยุทโธปกรณ์ทางทหารสูงที่สุด

RT สื่อรัสเซียรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟ ได้เปิดใจล่าสุดกับสื่อรายสัปดาห์เยอรมัน แดชปีกัล ประณามสหรัฐฯ โดยเตือนว่า ไม่มีทางที่โลกจะสงบสุขไปได้หากผู้ที่อยู่ในการเจรจาไม่เริ่มต้นที่จะหาทางปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างเป็นรูปธรรมเหมือนเมื่อครั้งในกลางยุค 80 เพราะการเจรจาที่ไร้การปฎิบัติอย่างเป็นรูปธรรมย่อมไม่เกิดผล โดยอดีตผู้นำสหภาพโซเวียตกังวลใจถึงสถานการณ์โลกที่ปัจจุบันนี้คล้ายกับอยู่ในยุคสงครามเย็นรอบใหม่ และอาจมีความเป็นไปได้ในการเกิดสงครามนิวเคลียร์เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ที่ชาเย็นและมึนตึงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย และทั้งนี้ต้องการให้ผู้นำโลกยุคใหม่ เช่น โอบามา ปูติน และแมร์เคิล ย้อนกลับไปดูตัวอย่างของผู้นำในอดีตในช่วงยุค 80 ว่าคนเหล่านั้นทำโลกให้สงบสุขอย่างแท้จริงได้อย่างไร

โดยกอร์บาชอฟกล่าวว่า โลกนี้จะยังคงอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปหากว่า รัฐประเทศรัฐหนึ่ง ซึ่งหมายความถึงสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ามีความทะเยอทะยานในการสร้างแสนยานุภาพทางทหารไม่หยุด และมีงบประมาณทางความมั่นคงสูงกว่าชาติใดในโลกนี้ซึ่งจะก่อให้เกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ในการทำให้โลกนี้ปลอดจากอาวุธนิวเคลียร์

“เราจะสามารถวาดภาพถึงโลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์ได้จริงหรือ ถ้าหากว่ายังคงมีประเทศหนึ่งที่สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด และงบประมาณการป้องกันประเทศของชาตินั้นเกือบจะสูงเท่ากับงบประมาณของทุกชาติในโลกมารวมกัน” กอร์บาชอฟแถลง

อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตยังกล่าวต่อไปว่า “และแน่นอนที่สุดประเทศนี้ย่อมมีความสุขในการเป็นผู้นำหนึ่งเดียวในโลกด้านการทหารหากว่าโลกนี้ปลอดอาวุธนิวเคลียร์”

ทั้งนี้ กอร์บาชอฟวัย 84 ปีได้ประณามว่า อาวุธนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ชั่วช้า และรับไม่ได้ในโลกยุคปัจจุบันนี้ เพราะมันสามารถทำลายล้างอารยธรรมมนุษยชาติที่สั่งสมมาหลายพันปีให้หมดไปในเพียงชั่วไม่มี่นาที

“อาวุธทำลายล้างสูงประเภทนี้ ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และไม่สมควรที่จะให้คงมีอยู่ต่อไป และหากพวกเราไม่กำจัดอาวุธนิวเคลียร์เหล่านี้ ในไม่ช้ามันจะถูกใช้ในที่สุด” กอร์บาชอฟกล่าวต่อ

และอดีตผู้นำประเทศคอมมิวนิสต์ยังเชื่อว่า “นโยบายปลอดทหาร(Demilitarization)สมควรถูกนำกลับมาใส่ไว้ในนโยบายต่างประเทศอีกครั้งซึ่งรวมไปถึงการลดงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ การห้ามการพัฒนาอาวุธบางชนิด และรวมไปถึงการห้ามพัฒนาอวกาศด้านการทหาร” และหากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เช่นนั้นแล้วการเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์หรือการปลดอาวุธนิวเคลียร์เป็นเพียงแค่ “คำพูดลมปากเท่านั้น”

นอกจากนี้ กอร์บาชอฟยังเสริมต่อในการให้สัมภาษณ์กับสื่อเยอรมันว่า “และหากว่าโลกนี้มีความปลอดภัยน้อยลง มีขาดเสถียรภาพ และไม่สามารถคาดเดาได้ ทุกคนจะกลายเป็นผู้แพ้ทั้งหมด รวมไปถึงกลุ่มคนที่กำลังหาทางควบคุมโลกในเวลานี้”

ในการให้สัมภาษณ์กับแดชปีกัล กอร์บาชอฟยังต้องตอกย้ำถึงอันตรายใน “การสำรวจอวกาศทางทหาร” หรือ Militarization of space ว่าเป็นภัยตัวฉกาจอย่างแท้จริง โดยอดีตผู้นำวัย 84 ปีระบุว่า “เขาวิตกมาก” เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิด “สงครามนิวเคลียร์” และเสริมว่า สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เหมือนเป็นรอยแผลฝังลึก “ชาติผู้นำทางนิวเคลียร์ยังคงมีหัวรบนุ๊กไว้ในความครอบครองเป็นจำนวนมาก และอาวุธนิวเคลียร์ยังคงติดตั้งอยู่ในยุโรป แต่ทว่าความก้าวหน้าในการทำลายคลังแสงอาวุธพวกนี้กลับเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด” กอร์บาชอฟกล่าวต่อ

จากความคิดเห็นของกอร์บาชอฟ อดีตเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 1990 ระบุว่า ในขณะนี้โลกกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์การสะสมอาวุธขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “การสำรวจอวกาศด้วยจุดประสงค์ทางทหารเป็นอันตรายอย่างแท้จริง อันตรายของอาวุธนิวเคลียร์นั้นมีมากกว่าที่เคยในอดีต”

นอกจากนี้ อดีตผู้นำโซเวียตวัย 84 ปีได้แสดงความเห็นถึงความสัมพันธ์ล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียว่า ในขณะนี้ทั้งสองประเทศได้มาถึง “ทางแยก” แล้ว โดยเขาแสดงทัศนะในเรื่องนี้ว่า “มีหลายคนได้กล่าวถึงสงครามเย็นยุคใหม่ และการพูดคุยระหว่างทั้งสองค่ายถึงปัญหาสำคัญของโลกเริ่มชาเย็นลง รวมไปถึงการเจรจาด้านการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และที่สำคัญที่สุด “ความเชื่อมั่น” ที่เราในอดีตต่างพยายามร่วมสร้างด้วยความยากลำบากได้ถูกทำลายไปเสียสิ้นแล้ว” กอร์บาชอฟกล่าว

ในท้ายที่สุดกอร์บาชอฟให้ความเห็นถึงเหตุการณ์ที่โลกร่วมกันทำลายหัวรบนิวเคลียร์ในยุค 80 สมควรจะเป็นบทเรียนให้กับโอบามา ปูติน และแมร์เคล ได้เรียนรู้ โดยกอร์บาชอฟชี้ว่า ไม่ว่าสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันจะร้อนแรงเพียงใด ไม่ควรที่จะมีผู้นำชาติคนใดจะต้องตัดสินใจจาก “ความตื่นกลัวและแตกตื่น”

ซึ่งกอร์บาชอฟได้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในยุคกลาง 80 ว่า “ในช่วงนั้นมีแต่คนคิดว่ารถไฟสีฟ้าขบวนนี้ที่กำลังแล่นไปสู่เหวนรกปรมาณูไม่มีทางที่จะหยุดได้” แต่ทว่าในที่สุดโลกกลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้นในการจัดการได้ “หัวรบติดนิวเคลียร์จำนวนมากถูกทำลาย และอาวุธหลากประเภทเช่น นิวเคลียร์มิสไซล์พิสัยกลางถูกปลด ซึ่งเราสามารถภาคภูมิในสิ่งนั้นได้ เราสามารถร่วมกันทำให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งถือเป็นบทเรียนให้สำหรับผู้นำชาติต่างๆ ในปัจจุบัน เช่น โอบามา ปูติน และแมร์เคิลต้องเรียนรู้ไว้



กำลังโหลดความคิดเห็น