เอเจนซีส์ - “เยอรมนี” จัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่มโหฬารในวันอาทิตย์ (9 พ.ย.) เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปีของการทลายกำแพงเบอร์ลิน ถือเป็นจุดหลักหมายที่แสดงถึงการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็น อย่างไรก็ตาม “มิคาอิล กอร์บาชอฟ” อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในสถานการณ์ตอนนั้น ได้กล่าวปราศัยเมื่อวันเสาร์ (8) เตือนว่าความตึงเครียดตะวันตก-ตะวันออกจากวิกฤตยูเครนกำลังผลักดันให้โลกก้าวเข้าสู่สงครามเย็นรอบใหม่ โดยที่เขากล่าวหาฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา ว่าฉวยโอกาสจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เข้าครอบงำโลกตามอำเภอใจ
คาดหมายกันว่า มีผู้คนมากกว่า 1 ล้านคนเข้ามาชุมนุมกันในเมืองหลวงของเยอรมนี เพื่อชมการแสดงของเหล่าร็อกสตาร์ และฟังคำปราศรัยของบุคคลผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์เวลานั้น โดยที่จะมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ เป็นการระลึกถึงเหตุการณ์การรื้อทำลายกำแพงคอนกรีตอันน่าชิงชังนี้ลงได้อย่างสันติ
แนวกำแพงที่เคยถูกสร้างตัดผ่ากรุงเบอร์ลิน เพื่อขวางกั้นระหว่างเขตของเยอรมันตะวันตกกับเยอรมันตะวันออก มีความยาวประมาณ 155 กิโลเมตร ในการฉลองคราวนี้ได้มีการสร้างงานศิลปะเป็นสัญลักษณ์ โดยทำเป็นแนวเสาสูงแขวนลูกโป่งใสเรืองแสงสีขาวรวมเกือบ 7,000 ลูกเฉพาะช่วงที่แนวกำแพงเคยตัดผ่านกลางเมืองเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร เสาเหล่านี้แต่ละต้นสูง 3.6 เมตร เท่ากับความสูงของกำแพงเบอร์ลินเดิม ไฮไลต์ของการเฉลิมฉลองคือการปล่อยลูกโป่งใสเหล่านี้ในเวลา 18.20 น.วันอาทิตย์ที่ 9 (ตรงกับ 01.20 น.วันจันทร์ที่ 10 ตามเวลาไทย)
อังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีที่ขณะนั้นเป็นนักวิจัยวัย 35 ปีในเบอร์ลินตะวันออกที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ กล่าวว่า เธอจำได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นานหลายสัปดาห์ก่อนที่จะมีการทำลายกำแพงเบอร์ลิน
“มหัศจรรย์มากที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสันติ” ผู้นำหญิงเหล็กย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เบอร์ลินสองฝั่งรวมกลับเข้าด้วยกัน และกลายเป็นสัญลักษณ์เอกภาพของยุโรปหลังยุคสงครามเย็น
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างพิธีระลึกที่กรุงเบอร์ลินเมื่อคืนวันเสาร์ (8) กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตที่ได้รับการยกย่อง จากการแสดงบทบาทสำคัญในการฟื้นสัมพันธ์กับตะวันตก กระทั่งนำไปสู่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและทั่วยุโรปตะวันออก รวมทั้งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดเงื่อนไขให้มีการทลายกำแพงเบอร์ลินอย่างสันติเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 ได้กล่าวเตือนว่า โลกกำลังอยู่ตรง “ขอบเหวของสงครามเย็นครั้งใหม่” โดยที่มีบางคนบอกว่า ขณะนี้โลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็นรอบใหม่แล้วด้วยซ้ำ
อดีตผู้นำโซเวียตแจกแจงว่า สาเหตุที่สถานการณ์ลุกลามถึงขั้นนี้เนื่องจากองค์กรโลกบาลอย่างคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไม่ได้แสดงบทบาทสำคัญหรือดำเนินมาตรการรูปธรรมเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้
กอร์บาชอฟ วัย 83 ปี ยังวิจารณ์ยุโรปว่า กำลังจะกลายเป็นมหาอำนาจที่อ่อนแอลงและค่อยๆ หมดบทบาทอย่างช้าๆ เพราะแทนที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของโลก ยุโรปกลับกลายเป็นดินแดนแห่งความวุ่นวายทางการเมือง การแข่งขันเพื่อแย่งชิงอิทธิพล และความขัดแย้งทางทหาร
ระหว่างปราศรัยที่ประตูบรานเดนเบิร์กของกรุงเบอร์ลิน กอร์บาชอฟยังบอกว่า ตะวันตกที่เคลิบเคลิ้มและยินดีกับชัยชนะ ฉกฉวยประโยชน์จากความอ่อนแอของรัสเซียหลังสหภาพโซเวียตล่มในปี 1991 เพื่อผูกขาดความเป็นผู้นำและครอบงำโลก โดยไม่ฟังคำเตือนจากใคร ซึ่งผลกระทบบางส่วนที่ปรากฏให้เห็นแล้วคือ การที่มหาอำนาจชาติต่างๆ ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขความขัดแย้งในยูโกสโลวาเกีย ตะวันออกกลาง และยูเครน
กอร์บาชอฟเสริมว่า ตะวันตกทำผิดพลาดหลายอย่างที่ทำให้รัสเซียไม่พอใจ เช่น การขยายสมาชิกนาโต การดำเนินการในอดีตยูโกสลาเวีย อิรัก ลิเบีย และซีเรีย รวมทั้งแผนการระบบป้องกันขีปนาวุธ ซึ่งอุปมาอุปไมยได้กับแผลพุพองที่ขณะนี้ลุกลามกลายเป็นหนองและมีเลือดซึมออกมา โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือยุโรป
วิธีแก้ไขที่กอร์บาชอฟแนะนำคือ การฟื้นความเชื่อมั่นผ่านการเจรจา โดยตะวันตกควรยกเลิกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัสเซีย