รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ร่างกฎหมายซึ่งทรงความสำคัญยิ่งยวดในการค้ำประกันให้สหรัฐฯสามารถทำข้อตกลงการค้าเสรีรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาอเมริกันแล้วในวันพุธ (24 มิ.ย.) เป็นการปูทางให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินหน้าส่วนประกอบใหญ่ส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ “ปักหมุดเอเชีย” เพื่อรับมือกับอำนาจอิทธิพลของจีนที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงในสมรภูมิรัฐสภาสหรัฐฯ อยู่เป็นเวลา 6 สัปดาห์เพื่อประคับประคองให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีชีวิตรอดต่อไปได้ แม้ต้องประสบความเพลี่ยงพล้ำใหญ่ 2 ครั้ง และมีการเจรจาต่อรองหลังฉากนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดวุฒิสภาก็ลงมติด้วยคะแนน 60 ต่อ 38 เมื่อวันพุธ (24) ให้อำนาจ “ฟาสต์แทร็ก” แก่โอบามา ในการไปเจรจาทำข้อตกลงการค้ากับต่างประเทศ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการส่งให้แก่ประธานาธิบดีเพื่อลงนามประกาศใช้ ทั้งนี้ เมื่อมีอำนาจฟาสต์แทร็กก็หมายความว่า ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ สามารถไปเจรจากับชาติอื่นๆ จนกระทั่งจัดทำข้อตกลงการค้าออกมาได้ โดยที่เมื่อส่งกลับมาให้รัฐสภาสหรัฐฯลงมติให้สัตยาบันรับรอง ฝ่ายนิติบัญญัติเพียงสามารถโหวตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบข้อตกลงทั้งฉบับเท่านั้น แต่ไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของข้อตกลงได้
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นกันว่า อำนาจฟาสต์แทร็กจะทำให้พวกประเทศคู่เจรจาของอเมริกาเกิดความมั่นใจ และส่งผลให้ทำความตกลงกันได้ โดยที่ข้อตกลงการค้าฉบับสำคัญที่สุด 2 ฉบับซึ่งโอบามากำลังพยายามขับเคลื่อนอยู่ในเวลานี้ ก็คือ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ปักหมุดเอเชีย ส่วนอีกฉบับหนึ่งได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนภาคพื้นแอตแลนติก (ทีทีไอพี) กับทางสหภาพยุโรป (อียู)
โดยเฉพาะ ทีพีพี นั้น เห็นกันว่าโอบามาเล็งที่จะให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงชิ้นหนึ่งในสมัยการครองตำแหน่งประธานาธิบดีของตน เนื่องจากจะเป็นข้อตกลงเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่โตเทียบเคียงได้กับข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ, แคนาดา และเม็กซิโก รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งในทางเศรษฐกิจของอเมริกา ในการต่อสู้คานอำนาจของจีนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม ในการบรรลุข้อตกลงทีพีพีนั้น บรรดารัฐมนตรีของ 12 ชาติสมาชิกซึ่งกำลังเจรจากันอยู่เวลานี้ ยังจะต้องสะสางประเด็นขัดแย้งอันยากลำบากจำนวนไม่น้อย ไล่ตั้งแต่เรื่องระยะเวลาความคุ้มครองผูกขาดสิทธิบัตร ที่บริษัทเวชภัณฑ์ซึ่งสามารถนำยาใหม่ๆ รุ่นต่อไปออกมาจะได้รับ ไปจนถึงเรื่องแนวทางปฏิบัติต่อรัฐวิสาหกิจทั้งหลายของเหล่าชาติสมาชิก
หลายประเทศ เป็นต้นว่าญี่ปุ่นและแคนาดา ต้องการให้รัฐสภาสหรัฐฯผ่านกฎหมายฟาสต์แทร็กเสียก่อน พวกตนจึงจะยื่นข้อเสนอสุดท้ายสำหรับการทำข้อตกลงทีพีพี ซึ่งจะครอบคลุมชาติต่างๆ ที่รวมกันแล้วเป็นผู้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจถึงราว 40% ของโลก อีกทั้งคาดหมายกันว่าทีพีพีจะส่งเสริมทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตเพิ่มขึ้นถึงปีละร่วมๆ 3,000 ล้านดอลลาร์
เหล่าผู้เจรจาระบุว่า จะสามารถสรุปข้อตกลงทีพีพีได้ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากประเทศต่างๆ มั่นใจว่ารัฐสภาอเมริกันจะไม่จ้องจับผิดเพื่อทำลายข้อตกลง
อำนาจฟาสต์แทร็กที่ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ได้รับในคราวนี้ มีอายุ 6 ปี ดังนั้นจึงหมายความว่าคณะบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งต่อจากโอบามาในเดือนมกราคม 2017 จะมีอำนาจนี้ไว้ใช้ไปอีกหลายปี
ในการให้อำนาจฟาสต์แทร็ก เพื่อที่จะเร่งรัดการเจรจาจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีคราวนี้ ปรากฏว่าพวกสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน ส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับทำเนียบขาว เนื่องจากมีความผูกพันเป็นปากเสียงให้แก่ภาคธุรกิจ ขณะที่พวกพรรคเดโมแครตในรัฐสภา ที่มีความผูกพันเกื้อกูลกับพวกสหภาพแรงงาน ส่วนใหญ่กลับคัดค้านถึงแม้อยู่พรรคเดียวกันกับโอบามา
ขณะเดียวกัน การลงมติของวุฒิสภาเมื่อวันพุธคราวนี้ มีขึ้นเวลาที่รัฐสภากำลังมีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายเกี่ยวกับการค้าหลายส่วน โดยที้สำคัญได้แก่ อำนาจเจรจาการค้าฟาสต์แทร็ก และการช่วยเหลือคนงานที่ตกงานเนื่องจากข้อตกลงการค้า
ก่อนหน้านี้ ร่างกฎหมายให้อำนาจฟาสต์แทร็ก ที่ถูกผูกรวมกับมาตรการต่ออายุช่วยเหลือคนงานซึ่งตกงานเนื่องจากข้อตกลงการค้า ได้ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภา ทว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏว่าแม้โอบามาเดินทางไปล็อบบี้ถึงสภาด้วยตนเอง แต่พวก ส.ส.เดโมแครต รวมทั้ง แนนซี เปโลซี ผู้นำของเดโมแครตในสภาล่าง ยังพากันขัดขืน และถึงขั้นยอมใช้ยุทธวิธีเทคะแนนคัดค้านส่วนซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือคนตกงาน อันเป็นส่วนที่ ส.ส.รีพับลิกันส่วนใหญ่โหวตไม่เอาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ร่างดังกล่าวทั้งฉบับจึงไม่ผ่านการเห็นชอบของสภาล่าง
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวและพวกรีพับลิกันในรัฐสภาได้แก้เกม ด้วยการแยกส่วนฟาสต์แทร็กออกมาจากมาตรการช่วยเหลือแรงงาน และสามารถผลักดันให้สภาล่างลงมติรับรองร่างกฎหมายเรื่องฟาสต์แทร็กไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากนั้นก็ผ่านการรับรองของสภาสูงอีกในคราวนี้
ในวันพุธ (24) นี้เอง วุฒิสภายังได้ลงมติเป็นเอกฉันท์รับรองร่างกฎหมายที่เป็นเรื่องมาตรการช่วยเหลือแรงงานอีกด้วย ทั้งนี้คาดกันว่าเมื่อเรื่องนี้ถูกส่งไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้งในวันพฤหัสบดี (25) พวก ส.ส.เดโมแครตน่าจะกลับลำลงมติเห็นชอบ และโอบามาน่าจะลงนามประกาศใช้กฎหมายทั้งสองภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่สมาชิกรัฐสภาจะหยุดพักการประชุมเป็นเวลา 1 สัปดาห์