เอเอฟพี – วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติรับรองร่างกฎหมายซึ่งจะให้อำนาจ “ฟาสต์แทร็ก” แก่ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศแบบเร่งด่วน ซึ่งรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership – TPP) ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีขนาดใหญ่ที่วอชิงตันกำลังเร่งผลักดัน
หลังผ่านด่านวุฒิสภาไปได้แล้วเมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) ร่างกฎหมายฉบับนี้จะถูกส่งต่อไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะผ่านฉลุยหรือไม่
แม้การเห็นชอบจากวุฒิสภาจะถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับโอบามา แต่มีแนวโน้มที่ร่างกฎหมายฉบับนี้จะถูกซักฟอกอย่างหนักในสภาล่าง ขณะที่สมาชิกบางคนในพรรคเดโมแครตเองก็ยังไม่เห็นด้วยกับนโยบายผลักดันทีพีพีของประธานาธิบดี
กฎหมายว่าด้วยอำนาจส่งเสริมการค้า (Trade Promotion Authority Bill - TPA) จะเปิดทางให้วอชิงตันสามารถเจรจาและสรุปข้อตกลงการค้ากับ 11 ประเทศในเอเชียและแปซิฟิก แล้วค่อยนำข้อตกลงที่ได้ไปเสนอต่อสภาคองเกรสเพื่อโหวตว่าจะ “รับ” หรือ “ไม่รับ” โดยที่คองเกรสไม่มีสิทธิ์ปรับแก้เนื้อหาในข้อตกลง
วุฒิสภาลงมติให้ไฟเขียวแก่ร่างกฎหมายทีพีเอด้วยคะแนน 62-37 เสียง โดย ส.ว.รีพับลิกันเกือบทั้งหมดยอมยกมือสนับสนุน
ออร์ริน แฮตช์ ประธานคณะกรรมการการคลังแห่งวุฒิสภา ระบุว่า “ทีพีเอถือเป็นกฎหมายสำคัญที่สุดที่เราจะต้องผ่านให้ได้ภายในปีนี้”
แฮตช์ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกันได้ร่วมจัดทำร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้น โดยวางเงื่อนไขสำคัญๆ ถึง 150 ข้อที่เน้นหนักเรื่องประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และการปกป้องแรงงาน
“ผลโหวตครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าประธานาธิบดีทำถูกต้อง พวกเรา (รีพับลิกัน) ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเขา”
ฝ่ายที่ต่อต้านกฎหมายทีพีเอกลับเป็นกลุ่ม ส.ส. และ ส.ว. ในพรรคของ โอบามา เอง โดย เจฟฟ์ เมิร์กลีย์ ส.ว.เดโมแครต ได้สะท้อนความคิดเห็นของนักวิจารณ์หลายคนที่เตือนว่า ข้อตกลงทีพีพีจะยิ่งทำให้ชาวอเมริกันสูญเสียตำแหน่งงาน ไม่ต่างจากความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่เคยส่งผลร้ายต่อแรงงานอเมริกันรุ่นก่อนมาแล้ว
“เราต้องเสียงานไปถึง 5,000,000 ตำแหน่ง และโรงงานอีก 50,000 แห่ง” เมิร์กลีย์ แถลงต่อบรรดาเพื่อน ส.ว. พร้อมกับย้ำว่า “แนวทางเช่นนี้ผิดพลาดมหันต์”
อย่างไรก็ดี ฝ่ายที่สนับสนุนกลับมองว่า ทีพีพีเป็นข้อตกลงการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่าเศรษฐกิจรวมกันถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของโลก ซึ่งจะช่วยทลายกำแพงการค้า ส่งเสริมศักยภาพด้านการส่งออกของสหรัฐฯ และยังเป็นกรอบแนวทางอันก้าวหน้าที่สุดให้แก่ข้อตกลงการค้าฉบับอื่นๆ